ภาวะเลือดออกทางช่องคลอดขณะตั้งครรภ์เป็นเรื่องที่พบได้โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรก แม่ตั้งครรภ์ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ มักพบเลือดออกเล็กน้อยหรือกะปริดกะปรอยในช่วงไตรมาสแรกประมาณ 1-2 สัปดาห์ เกิดจากการฝังตัวของไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิในผนังมดลูก แต่หากมีเลือดออกในช่วงไตรมาสที่สองและสามจะถือว่าเป็นเรื่องไม่ปกติและอาจเป็นอันตรายต่อตัวคุณแม่และลูกน้อยได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีเลือดออกในปริมาณมาก ควรไปพบแพทย์ที่ฝากครรภ์โดยเร็วที่สุดและตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง เพื่อความปลอดภัยของทั้งคุณแม่เองและและลูกน้อยในครรภ์

สมัครเป็นสมาชิก Enfa Smart Club กับชมวันนี้ ลุ้นรับ MacBook Air

สาเหตุของเลือดออกขณะตั้งครรภ์ : ไตรมาสแรก

  • ไข่ฝังตัวในผนังมดลูก

    คุณแม่อาจพบเลือดไหลกะปริดกะปรอยออกมาจากช่องคลอด เนื่องจากเป็นช่วงที่ไข่ที่ปฏิสนธิแล้วกำลังฝังตัวเข้ากับในผนังมดลูก ซึ่งอาจทำให้มีเลือดซึมออกมาได้ เลือดที่เกิดจากไข่ฝังตัวนี้แตกต่างจากเลือดประจำเดือนตรงที่มีสีอ่อนและมีปริมาณน้อยมาก ในขณะที่เลือดประจำเดือนจะมีสีแดงเข้ม มีปริมาณมากและมีรูปแบบการมาที่แน่นอน คือมาน้อย-มาก-น้อย โดยปกติเลือดชนิดนี้จะหายไปได้เองในเวลาไม่นาน

  • แท้ง

    สาเหตุนี้พบได้บ่อยที่สุดในช่วง 12 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ โดยมักจะส่งผลให้มีคุณแม่อาการปวดเกร็งหน้าท้องส่วนล่างอย่างรุนแรง หรือมีเนื้อเยื่อถูกขับออกมาทางช่องคลอด

  • ท้องนอกมดลูก

    เกิดจากความผิดปกติของการปฏิสนธิของไข่และอสุจิ ทำให้ตัวอ่อนไปฝังตัวอยู่ภายนอกโพรงมดลูกโดยเฉพาะบริเวณท่อนำไข่ เมื่อเจริญเติบโตก็อาจส่งผลให้ท่อนำไข่แตก ทำให้มีเลือดออก ปวดเกร็งหน้าท้องส่วนล่างอย่างมาก หรือเวียนศีรษะได้

  • ครรภ์ไข่ปลาอุก

    เมื่ออัลตราซาวด์ จะพบเนื้อเยื่อที่ผิดปกติ ซึ่งมีลักษณะคล้ายไข่ปลาในมดลูกแทนที่ตัวอ่อนของทารก โดยผู้ป่วยอาจรู้สึกคลื่นไส้และอาเจียนอย่างรุนแรง รวมถึงมีมดลูกขยายใหญ่มากกว่าปกติด้วย

ภาวะเลือดออกช่องคลอด เรื่องสำคัญที่คุณแม่ควรรับมือ

สาเหตุของเลือดออกขณะตั้งครรภ์ : ไตรมาสสองและสาม

ปัญหาที่พบได้บ่อยที่ทำให้มีเลือดออกเล็กน้อย คือ การอักเสบหรือการขยายขนาดของปากมดลูก การที่เลือดออกมากเป็นภาวะที่รุนแรงกว่า ซึ่งอาจเกิดจากความผิดปกติของรก เช่น รกเกาะต่ำ รกลอกตัวก่อนกำหนด มดลูกแตก หรือ การเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด ถ้ามีเลือดออกขณะตั้งครรภ์ระยะหลัง แนะนำให้รีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลทันที

การดูแลเมื่อมีเลือดออกขณะตั้งครรภ์

คุณแม่จึงควรหมั่นดูแลและสังเกตตนเอง รวมทั้งคอยปรึกษาแพทย์อยู่เป็นประจำ หากพบว่าตนเอง มีเลือกออกระหว่างตั้งครรภ์ อาจใส่ผ้าอนามัยและจดบันทึกความเปลี่ยนแปลงของอาการเลือดออก ว่ามีปริมาณมากน้อยเพียงใด รวมทั้งสังเกตดูว่าเลือดนั้นมีลักษณะหรือสีที่เปลี่ยนไปหรือไม่ หากพบเนื้อเยื่อไหลออกมาจากช่องคลอด ก็ควรเก็บตัวอย่างไปให้แพทย์วินิจฉัยเพิ่มเติมต่อไป และยังควรหลีกเลี่ยงการใช้ผ้าอนามัยแบบสอดหรือมีเพศสัมพันธ์ขณะเลือดออกด้วย

ที่สำคัญ คุณแม่ตั้งครรภ์ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน หากพบอาการต่างๆ เช่น ปวดท้องหรือปวดเกร็งหน้าท้องส่วนล่างอย่างรุนแรง มีเลือดออกอย่างรุนแรงไม่ว่าจะมีอาการปวดร่วมด้วยหรือไม่ก็ตาม มีเนื้อเยื่อถูกขับออกมาทางช่องคลอด เวียนศีรษะ หมดสติ มีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส ฯลฯ เพราะเป็นสัญญาณของอาการผิดปกติที่อาจส่งผลต่อตัวคุณแม่และลูกในครรภ์ได้