อย่าให้ลูกขาด...น้ำ
เราต่างทราบดีว่าน้ำมีหน้าที่สำคัญหลายประการในร่างกายของเรา โดยเฉพาะในเด็กเล็ก เพราะน้ำจะช่วยลำเลียงสารอาหารต่างๆ ไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้ร่างกายหายอ่อนล้า ช่วยปรับอุณหภูมิในร่างกายให้คงที่ ทำให้ผิวหนังและเนื้อเยื่อชุ่มชื้น ซึ่งป้องกันไม่ให้เชื้อโรคต่างๆ เข้าสู่ร่างกายได้ ฯลฯ
เราจึงจำเป็นต้องดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย โดยเฉพาะในเด็ก ซึ่งไม่ค่อยรู้สึกว่าร่างกายกำลังขาดน้ำ หรือได้รับน้ำไม่เพียงพอ จึงไม่ค่อยหาน้ำดื่มเอง ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของคุณแม่ที่ต้องคอยดูแลแล้วล่ะค่ะ
ในแต่ละคนจะมีความต้องการน้ำไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับน้ำหนักและพฤติกรรมต่างๆ ทั้งการเคลื่อนไหวและการบริโภค สำหรับเด็กที่ร่างกายและสมองกำลังเจริญเติบโตนั้น ต้องการน้ำวันละ 2-3 ลิตร หรือ 6-8 แก้วต่อวัน คุณแม่อาจช่วยดูแลนิสัยในการดื่มน้ำของลูก โดยเมื่อลูกตื่นนอนตอนเช้าก่อนแปรงฟัน ควรหัดให้เขาดื่มน้ำสักครึ่งถึง 1 แก้ว ให้เป็นนิสัย เพื่อลดความเข้มของเลือดและขับสารพิษออกจากร่างกาย โดยน้ำที่ดื่มควรเป็นน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่น เพราะการดื่มน้ำเย็นเกินไป จะทำให้เส้นเลือดหดตัวลง กว่าเซลล์จะปรับตัวและขยายตัวเพื่อดูดซึมต้องใช้เวลานานพอสมควร จึงทำให้เกิดอาการจุกหน้าอกขึ้นได้ เมื่อกระหายน้ำแล้วดื่มน้ำเย็นจัดเข้าไป ขณะที่น้ำธรรมดาที่อุณหภูมิห้อง ร่างกายจะสามารถดูดซึมไปใช้ในระบบหมุนเวียนเลือดได้เลย จึงไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกายและสมอง
ในระหว่างวันที่ลูกมีกิจกรรมต่างๆ ที่ต้องสูญเสียน้ำ ทั้งปัสสาวะและเหงื่อ ซึ่งทำให้ร่างกายขาดสมดุลของน้ำ ดังนั้นคุณแม่ควรให้ลูกดื่มน้ำบ่อยๆ ในระหว่างวัน แต่ไม่ควรให้ลูกดื่มน้ำครั้งละมากๆ ในคราวเดียว เพราะจะทำให้ร่างกายเสียสมดุลของเกลือแร่ได้
เด็กบางคนชอบกินขนมกรุงกรอบที่มีรสหวานจัด เค็มจัด จะทำให้รู้สึกหิวน้ำตลอดเวลา เนื่องจากน้ำที่ดื่มไป ร่างกายไม่สามารถใช้ไปเผาผลาญความหวานและเค็มได้ ดังนั้นคุณแม่ควรดูแล และหลีกเลี่ยงไม่ให้ลูกกินอาหารรสหวานจัดและเค็มจัด เพื่อช่วยให้ไตและต่อมหมวกไตทำงานปกติ ร่างกายจึงจะสามารถใช้และเผาผลาญน้ำที่ลูกดื่มไปได้
ถ้าลูกดื่มน้ำน้อยและไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายเป็นเวลานาน จะทำให้ลูกรู้สึกอ่อนล้า ร่างกายก็อาจเป็นโรคขาดน้ำเรื้อรัง อาจทำให้เกิดอาการท้องผูก อุจจาระแข็งและขับถ่ายออกยาก นอกจากนี้ ยังทำให้เนื้อเยื่อในจมูกและปากแห้ง ซึ่งทำให้ลูกเป็นหวัดได้ง่ายอีกด้วยค่ะ
