วัฎจักรของเส้นผมนั้นแบ่งออกเป็น 3 ช่วง คือ ช่วงเติบโต ช่วงพัก และช่วงหลุดร่วง ในเด็กแรกเกิดจะมีอาการผมร่วงในช่วง 6 เดือนแรกหลังคลอดได้ เพราะ เซลล์ผมทั้งหมดหยุดเจริญเติบโตพร้อมกันหมด จึงทำให้ผมของเด็กเกิดการหลุดร่วง สาเหตุเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย และผมใหม่ก็เริ่มขึ้นมาแทน หากหนังศีรษะ ไม่บวมแดง ไม่คัน ก็สบายใจได้ค่ะ
ฝ้าขาวที่ลิ้น มักเป็นปัญหาของเด็กในขวบปีแรกที่เลี้ยงด้วยนมผสม คุณแม่สามารถป้องกันอาการนี้ได้โดยล้างมือให้สะอาดทุกครั้งในเวลาที่จะเตรียมนมผสม และให้นมลูก หลังกินนม ให้ลูกดูดน้ำตามเพื่อล้างคราบนมเนื่องจากนมผสมมีความเข้มข้นจึงติดเป็นคราบได้ง่าย คุณแม่เช็ดทำความสะอาดในช่องปากให้ลูกเป็นประจำทุกเช้าและเย็นโดยใช้ผ้านุ่มๆชุบน้ำหมาด พันนิ้วชี้แล้วเช็ดตามสันเหงือก กระพุ้งแก้มและลิ้น จะช่วยป้องกันฝ้าขาวได้ดีค่ะ
เป็นลักษณะปกติของน้องที่กินนมผสมซึ่งการเสริมธาตุเหล็ก เมื่อร่างกายนำไปใช้เพียงพอแล้ว ธาตุเหล็กส่วนที่เหลือจะมีการขับออกทางอุจจาระจึงทำให้ถ่ายเป็นสีเขียวได้ คุณแม่ไม่ต้องกังวัลนะคะ
"ควรทำความสะอาดสะดือของลูกวันละ 2 ครั้งหลังอาบน้ำทุกวัน หรือเมื่อสะดือเปียกแฉะในระหว่างที่สายสะดือยังไม่หลุด เช็ดทำความสะอาดสะดือให้หมดทุกส่วน โดยเฉพาะบริเวณรอยต่อระหว่างสายสะดือกับบริเวณผิวหนัง ด้วยแอลกอฮอล์ 70% , เบตาดีน หรือน้ำยาตามที่โรงพยาบาลจัดให้ เช็ดตามขั้นตอนดังนี้
1.ล้างมือให้สะอาด
2.เทน้ำยาลงบนปลายคัตตั้นบัต พอชุ่ม จับที่ปลายสายสะดือยกขึ้น ใช้คัตตั้นบัตนั้นเช็ดสายสะดือโดยเช็ดจากล่างขึ้นบนจากโคนสะดือถึงปลายตัด และรอบๆโคน ออกแรงกดเล็กน้อย ไม่ต้องกลัวว่าลูกจะเจ็บเพราะสายสะดือส่วนนี้ไม่มีเส้นประสาทมาเลี้ยง สะดือของเด็กแรกเกิดเป็นสิ่งที่ต้องดูแลอย่างพิถีพิถัน เพราะถ้าคุณแม่ทำความสะอาดสะดือไม่ดีหรือเป็นกังวลว่าลูกจะเจ็บจนทำความสะอาดไม่ทั่วถึง อาจทำให้สะดือสกปรกและมีการติดเชื้อได้
3.เช็ดบริเวณรอบสะดือเด็ก วนโดยรอบจากด้านในออกด้านนอก
ห้ามทาแป้งหรือยาอื่นๆบริเวณสะดือ และไม่ต้องปิด สายสะดือจะแห้งและหลุดไปได้เองภายใน7-10 วันหลังคลอด หากเกินเวลาแล้วสะดือยังไม่หลุด มีเลือดซึม สะดือแฉะ หรือมีอาการอักเสบ บวมแดง ควรพาไปพบแพทย์ค่ะ"
โดยปกติ ปัสสาวะในทารกจะมีสีเหลืองใส ไม่มีเลือดปน อาจพบสีเหลืองเข้มได้ในช่วงเช้า เพราะค้างอยู่ในกระเพาะปัสสาวะเป็นเวลานาน หากทารกปัสสาวะมากกว่า 6-8 ครั้งต่อวันแสดงว่าได้รับนมแม่เพียงพอ
ใน2-3วันแรกหลังคลอดทารกจะขับขี้เทาที่เกิดจากการดูดกลืนน้ำคร่ำในขณะที่อยู่ในท้องแม่ ซึ่งทั้งเหนียวและข้นหลังจากนั้นจึงจะเป็นนมที่ได้รับหลังคลอด เด็กที่กินนมแม่จะถ่าย3-5ครั้งต่อวันซึ่งจะถ่ายบ่อยในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกหลังคลอด อุจจาระจะเป็นสีเหลืองทองมีน้ำเท่าๆกับเนื้อ ถ้าแม่มีน้ำนมมากและให้ลูกดูดไม่เกลี้ยงเต้า ได้นมส่วนหน้าซึ่งมีน้ำตาลเลคโตสสูง ลูกจะถ่ายมีน้ำมากกว่าเนื้อ บางครั้งมีสีเขียวปน หรือบางครั้งจะมีเลือดปนออกมาเป็นเส้นๆได้คะ ถ้าลูกสบายดีไม่มีไข้ กินได้ นอนหลับได้ปัสสาวะเป็นสีเหลืองใสถือว่าเป็นเรื่องปกตินะคะ ในเด็กที่เลี้ยงด้วยนมผสม ควรได้นมมื้อละ 2-3ออนซ์ให้กินทุก3 ชั่วโมง เด็กจะถ่ายน้อยกว่าเด็กที่กินนมแม่ อาจถ่ายวันละ 1-3ครั้งหรือบางคนอาจถ่าย 2-3 วันครั้ง โดยอุจจาระเป็นก้อนมีเนื้อมากกว่าน้ำ อาจจะเป็นสีซีดหรือมีสีเขียวปนได้
คุณแม่กินพาราเซทตามอลซึ่งเป็นยาแก้ปวดและลดไข้ที่ใช้ได้ปลอดภัยในหญิงตั้งครรภ์ ยังไม่มีรายงานว่าทำให้ลูกน้อยเกิดความผิดปกติ แต่ก็ไม่ควรกินต่อเนื่องนานเกินไปเพราะมีผลต่อการทำงานของตับ หาก 2-3 วันแล้วอาการไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์ตรวจ
คุณแม่สามารถทำเล็บ ทำสีผมได้ค่ะ เพียงเลือกร้านที่มีอุปกรณ์สะอาดและปลอดภัย มีช่างผู้ชำนาญ ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ปราศจากสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อระบบหายใจและผิวหนังค่ะ ช่วงท้องแก่ การนั่งนานๆระหว่างทำคุณแม่อาจอึดอัด ไม่สุขสบายได้ และกลิ่นของน้ำยาอาจรบกวนทำให้เวียนศีรษะได้ง่าย ถ้ารูสึกไม่สบายจะลุกจะนั่งให้ระวังอุบัติเหตุด้วยนะคะ
ธรรมดาผู้ที่ไม่เคยดื่มนมแล้วมาดื่ม ในระยะแรกๆจะมีอาการถ่ายเหลวได้แต่ไม่มีอาการปวดมวนท้องค่ะ เพราะแต่ละคนจะมีระบบการย่อยน้ำตาลในนมไม่เหมือนกัน หากคุณแม่ดื่มนมแล้วถ่ายเหลว ให้ลองเริ่มด้วยการชงนมให้จางลง ดื่มวันละ 1/2 แก้วก่อน เมือดื่มได้ไม่ถ่ายเหลวจึงค่อยๆปรับเพิ่มนมเป็นชงปกติ ไม่ควรดื่มนมในช่วงที่ท้องว่าง อาจดื่มพร้อมกินขนมปัง หากไม่มีปัญหาเรื่องถ่ายเหลวแล้วแสดงว่าร่างกายปรับตัวได้แล้ว ค่อยๆเพิ่มจนได้วันละ 1 -2 แก้วค่ะ
เกิดจากการยืดตัวของเอ็นยึดมดลูก เมื่อมดลูกมีขนาดใหญ่ขึ้น เอ็นนี้ก็จะยืดตัว มีความตึงจึงเกิดอาการปวด มักจะเกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ 14 -28 เวลายืนหรือเดินนานๆ เมื่อมีอาการควรนั่งพัก ยกเท้าสูงเพื่อผ่อนคลาย สักครู่อาการจะหายไปค่ะ อาการนี้ไม่เป็นอันตรายต่อลูกน้อยในครรภ์ จะค่อยๆดีขึ้นหลังอายุครรภ์ 24 สัปดาห์ค่ะ
ทารกแรกเกิดจะกินนมทุกๆ2-3ชั่วโมง หากให้ทารกกินนมแม่ควรให้ทารกดูดนมทั้ง 2 ข้างๆละ10-15 นาทีสลับกันไปมา จนกว่าเต้านมนิ่ม หรือทารกแสดงอาการว่าอิ่มซึ่งสังเกตได้จากการกระตุ้นที่มุมปากแล้วทารกไม่ยอมดูดต่อ และหลับ การให้ดูดนมจนหมดทารกจะได้ทั้งนมส่วนหน้าและส่วนหลังซึ่งจะมีปริมาณพลังงานที่เพียงพอ ปัสสาวะวันละ 6-8 ครั้งมีลักษณะเป็นสีเหลืองใส และนอนหลับนาน2-3 ชั่วโมง ไม่ร้องกวน แสดงว่าได้รับนมเพียงพอแล้ว ทารกแรกเกิดจะต้องขับถ่ายภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด ซึ่งการขับถ่ายใน2-3 วันจะถ่ายเป็นขี้เทา ซึ่งจะมีลักษณะสีเทาดำปนเขียว เนื้ออุจจาระเนียนละเอียดแต่เหนียวมาก หากผสมกับปัสสาวะจะเห็นเป็นสีเหลืองเหมือนสีของน้ำดี หลังจากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง ทารกที่ได้รับนมแม่จะขับถ่ายวันละ 5-6 ครั้งโดยอุจจาระจะมีน้ำเท่าๆกับเนื้อ ส่วนใหญ่จะถ่ายบ่อยมากในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกหลังคลอด เมื่ออายุมากขึ้นจะถ่ายน้อยครั้งลง บางคน 3-5 วันถ่ายครั้งก็มี แต่อุจจาระนุ่มหรือเละๆก็ยังถือว่าปกติ ส่วนนมผสมวัยนี้จะกินครั้งละน้อยๆ 2-3 ออนซ์/มื้อ แบ่งเป็น6-8 มื้อต่อวัน อาจถ่าย 2-3 วันครั้ง แต่อุจจาระนุ่ม เหนียวเป็นลำ หรือส่วนต้นแข็งเล็กน้อยแต่ส่วนต่อมานุ่ม อาจมีสีเขียวซึ่งเกิดจากธาตุเหล็กที่เหลือใช้และจะถูกขับออกมากับอุจจาระ ถือว่าปกติ
อาหารรสเผ็ดส่งผลให้เกิดอาการกรดไหลย้อน และแสบบริเวณทวารหนักเวลาขับถ่ายได้ ทำให้ปวดมวนท้อง ซึ่งอาการเหล่านี้ส่งผลให้คุณแม่ไม่สุขสบาย จึงควรหลีกเลี่ยงค่ะ ส่วนการกินรสเค็มต่อเนื่องก็อาจทำให้บวมได้ง่าย เสี่ยงต่อภาวะความดันโลหิตสูง นอกจากนี้การกินอาหารรสหวานนานๆก็อาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรคเบาหวานซึ่งส่งผลต่อลูกในครรภ์ได้
เพื่อตรวจดูว่ามีปัญหาเรื่องฟันหรือไม่ หญิงตั้งครรภ์เป็นโรคเหงือกอักเสบได้ง่ายกว่าปกติเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย หากมีการติดเชื้อในช่องปาก โอกาสเสี่ยงที่จะคลอดก่อนกำหนดและลูกอาจมีขนาดตัวเล็กเกินไปได้ คุณแม่จึงควรไปพบทันตแพทย์นะคะ ช่วงที่เหมาะกับการทำฟันคือช่วงตั้งครรภ์ 4 -6 เดือน ก่อนหน้านี้ไม่เหมาะเพราะยังมีอาการแพ้ท้อง มีคลื่นไส้อาเจียนอยู่และอาจทำให้แท้งได้ ส่วนช่วง 7-9 เดือนท้องที่โตขึ้นก็ทำให้ไม่สะดวกในการนอนบนเตียงทำฟันและอาจทำให้คลอดก่อนกำหนดได้เช่นกันค่ะ สุขภาพที่แข็งแรงของคุณแม่มีส่วนสำคัญต่อลูกน้อยในครรภ์อย่างมาก ขณะที่เจริญเติบโตอยู่ในครรภ์ ฟันน้ำนมและฟันแท้ของลูกน้อยก็จะค่อยๆสร้างไปพร้อมอวัยวะอื่นๆของร่างกาย คุณแม่จึงควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เช่นไข่ นมสด ปลา น้ำมันตับปลา ผักผลไม้ เพื่อการสร้างฟันของลูกน้อย โดยเฉพาะผักผลไม้เป็นอาหารที่มีเส้นใยช่วยทำความสะอาดฟันของคุณแม่ไปในตัวซึ่งจะช่วยลดฟันผุได้ดีด้วยค่ะ
นมแม่แบ่งเป็น2ส่วนคือ
น้ำนมส่วนหน้า (Foremilk)เป็นน้ำนมที่ไหลออกมาในช่วงแรกของการให้นม จะค่อนข้างใส ไขมันต่ำ คาร์โบไฮเดรตสูง เป็นแหล่งพลังงานของร่างกาย
น้ำนมส่วนหลัง (Hindmilk) เป็นน้ำนมที่ไหลออกมาหลังจากให้นมทารกไปได้ระยะหนึ่ง จะมีลักษณะข้นกว่า มีไขมันสูงซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญต่อพัฒนาสมองและการเจริญเติบโตของร่างกาย แต่ไม่มีการแบ่งแยกที่ชัดเจนระหว่างน้ำนมส่วนหน้ากับน้ำนมส่วนหลัง
"ระหว่างวัน หรือการดื่มเครื่องดื่มที่อาจมีส่วนผสมของคาเฟอีนอยู่
กาแฟ ชา น้ำอัดลม ช็อคโกแลต หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเป็นส่วนผสม สามารถส่งผ่านทางเลือดของคุณแม่ไปสู่ทารกในครรภ์ ดังนั้นจึงควรควบคุมปริมาณของคาเฟอีนที่ร่างกายบริโภคเข้าไป เพราะว่าการบริโภคคาเฟอีนในปริมาณที่มากจะส่งผลต่อการตั้งครรภ์ได้
ชีสบางชนิด หลีกเลี่ยงชีสในกลุ่ม Camembert, Brie, หรือชีสอื่นที่มีลักษณะผิวแบบเดียวกัน นอกจากนั้นยังควรหลีกเลี่ยงชีสที่มีเส้นสีน้ำเงินแทรก เช่น Stilton ด้วย ชีสเหล่านี้มีเชื้อ ""ลิสทีเรีย"" ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ทำอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้ แต่ถ้าอยากรับประทานจริงๆ ให้เปลี่ยนเป็น Cheddar หรือ cottage cheese, processed cheese หรือ cheese spread
ปาเต (pâté) หมายถึงเนื้อหรือตับบดผสมไขมัน เครื่องใน หรือเครื่องเทศ ที่ใช้ทาขนมปัง อาหารกลุ่มนี้มีเชื้อลิสทีเรียซึ่งควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน"
" แม้หญิงตั้งครรภ์สามารถรับประทานอาหารส่วนใหญ่ได้เหมือนปกติ แต่อาหารบางอย่างควรหลีกเลี่ยงเนื่องจากเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาหารเป็นพิษ การติดเชื้อ หรือส่งผลต่อทารกในครรภ์ได้
ไข่ดิบหรือไข่ลวกกึ่งดิบกึ่งสุก ไข่มีเชื้อซาลโมเนลลาที่ทำให้เกิดอาหารเป็นพิษได้ การรับประทานไข่ควรปรุงให้สุกก่อนทั้งไข่แดงและไข่ขาว ไม่ควรรับประทานไข่ที่มีบางส่วนยังดิบอยู่ หรือน้ำสลัดปรุงเองที่มีส่วนผสมของไข่ดิบ แต่น้ำสลัดและมายองเนสที่ซื้อตามร้านส่วนใหญ่ใช้ไข่ที่ผ่านการพาสเจอไรส์แล้ว ดังนั้นจึงไม่ค่อยเป็นปัญหา
เนื้อสัตว์ดิบหรือปลาดิบ ควรรับประทานเนื้อสัตว์ปรุงสุกแล้วในอุณหภูมิที่สูงมากๆ โดยให้สุกจนไม่เหลือส่วนที่เป็นเนื้อแดงอยู่เลย อาหารดิบอาจมีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนเชื้อต่างๆเช่น โคลิฟอร์มแบคทีเรีย Toxoplasmosis และ Salmonella
ปลาบางชนิด ปลาบางชนิดมีสารปรอทตกค้างในปริมาณสูงซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาระบบประสาทของทารกในครรภ์ได้ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงปลากลุ่มนี้ ได้แก่ ปลาทะเล, หูฉลาม ส่วนปลาทูน่าถ้าจำเป็นจริงๆ ควรจำกัดไม่รับประทานเกิน 2 ชิ้นสเต็คทูน่าต่อสัปดาห์ ปลาอื่นที่ไม่ใช่ปลาทะเลสามารถรับประทานได้ทั้งหมดและควรรับประทานเนื่องจากเป็นอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกาย ควรรับประทานปลาอย่างน้อย 2 ส่วนต่อสัปดาห์ โดยหนึ่งส่วนเป็นปลาที่มีน้ำมันปลาอยู่ด้วย
ถั่วลิสง ถ้าตัวหญิงตั้งครรภ์, สามี, หรือญาติทางฝั่งตนเองหรือสามีมีประวัติแพ้อาหารหรือประวัติภูมิแพ้ เช่น แพ้ละอองเกสรหรือหอบหืด คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานถั่วลิสงทั้งระหว่างตั้งครรภ์และให้นมบุตรด้วย
หอยดิบ หลีกเลี่ยงการรับประทานหอยดิบขณะตั้งครรภ์เนื่องจากบางครั้งมีไวรัสและแบคทีเรียปนเปื้อนมาด้วยและอาจทำให้เกิดอาหารเป็นพิษได้ เช่นหอยแครงลวก ควรรับประทานหอยที่ปรุงสุกแล้วเท่านั้น
แอลกอฮอล์ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากขณะตั้งครรภ์อาจทำอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้ มีหลักฐานยืนยันว่าสัมพันธ์กับความพิการแต่กำเนิดและน้ำหนักตัวแรกคลอดน้อยด้วย การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปอาจส่งผลร้ายต่อสภาวะสารอาหารของมารดาได้ โดยจะไปรบกวนการดูดซึมสารอาหารหรือลดความอยากอาหารลง ทำให้มารดากินน้อยลง
คาเฟอีน ปัจจุบันยังไม่มีการรายงานที่แน่ชัดว่าคาเฟอีนมีผลต่อการพัฒนาการของเด็กหรือไม่
ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ส่วนใหญ่จะแนะนำว่าหญิงตั้งครรภ์ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารคาเฟอีนอยู่เกิน 200 - 300 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งอาจจะเป็นเท่ากับการดื่มกาแฟ 2-3 แก้ว แต่คุณแม่ควรระลึกเสมอว่าร่างกายอาจได้รับสารคาเฟอีนมาจากการรับประทานอาหาร"
นมแม่มีสารอาหารครบถ้วน ย่อยง่าย ดูดซึมไปใช้ได้ดีจึงเหลือกากน้อย บางคนถ่าย 3-5 วันครั้งก็มีค่ะ หากลูกกินนมได้ หลับดี แข็งแรง ไม่โยเย ถือว่าปกติค่ะ การที่ลูกร้องงอแง บิดตัวเหมือนไม่สบายท้องและผายลมด้วย เป็นไปได้เพราะกินนมแม่เฉพาะส่วนหน้าซึ่งมีน้ำตาลนมมากกว่าทำให้เกิดอาการท้องอืด ยาที่คุณแม่ให้เป็นการแก้ปัญหาตามอาการเท่านั้น ใช้วิธีแก้ปัญหานี้ดีกว่าค่ะ ไม่ยากเลย โดยทุกมื้อนมพยายามให้ลูกดูดจนเกลี้ยงเต้าแต่ละข้าง ซึ่งสังเกตได้จากเต้านมจะนิ่มลง แล้วจึงเปลี่ยนไปกินอีกข้างจนหมดเช่นกัน น้องก็จะได้นมทั้งส่วนหน้าและส่วนหลังที่อุดมไปด้วยสารอาหารและไขมันที่สำคัญในการเจริญเติบโตทั้งร่างกายและสมองของลูกน้อยค่ะ หากกินไม่หมด ให้ปั๊มเก็บส่วนที่เหลือไว้ใช้ได้ตามวิธีเก็บนมแม่ ทำเช่นนี้แล้วลูกก็จะได้สารอาหารครบถ้วนและแลคโตสในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากเกินไปจนทำให้ท้องอืดได้ค่ะ วิธีการเก็บนมแม่ดูเพิ่มเติมได้ที่ลิงค์นี้นะคะ...............
ตามธรรมชาติแล้วการผลิตน้ำนมของแม่จะผลิตจำนวนเพียงพอที่ลูกต้องการเท่านั้น สูติแพทย์และพยาบาลผดุงครรภ์จึงแนะนำให้คุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ให้ลูกดูดนมให้หมดเต้า หากดูดไม่หมด ควรบีบนมเก็บเป็นสต๊อกไว้ใช้เพื่อให้มีการสร้างน้ำนมใหม่เท่าเดิมหรือมากกว่า หากน้ำนมแม่ไหลพุ่งแรง คุณแม่แก้ไขได้โดยบีบนมออกเล็กน้อยก่อนให้ลูกดูด เอามือกดเบาๆที่ลานนม จะช่วยสกัดไม่ให้น้ำนมพุ่งแรง ให้ลูกอมส่วนหัวนม ล้ำเข้ามาด้านในเต้านมเล็กน้อย หรือเปลี่ยนท่าทางในการให้นม จากท่านั่งพิง ท่านั่งเอนๆ เป็นท่านอนให้นมลูก จะช่วยทำให้น้ำนมไหลออกมาช้าลง ลูกจะดูดได้พอดีค่ะ
"เนื่องจากเป็นช่วงที่ลูกเติบโตเร็วมาก มดลูกขยายตัวไปดันปอดทำให้หายใจไม่สะดวกและเจ็บชายโครงได้ วิธีแก้ไข ให้นั่งหลังตรง หายใจเข้าลึกๆพร้อมค่อยๆยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะ กลั้นหายใจนับ 1, 2, 3 แล้วค่อยๆผ่อนลมหายใจออกทางปากช้าๆพร้อมปล่อยแขนลงตามเดิม ทำเช่นนี้หลายๆรอบ การฝึกหายใจแบบนี้เป็นการบริหารปอดและกล้ามเนื้อหน้าอกจะช่วยให้คุณแม่สบายขึ้นค่ะ และยังช่วยลดความเจ็บปวดขณะคลอดได้ด้วยค่ะ ช่วงนี้ควรกินอาหารทีละน้อยแต่เพิ่มมื้อขึ้น เพราะกระเพาะอาหารก็ถูกเบียดไปด้วยเช่นกันค่ะ"
ตั้งครรภ์ปกติ มีเพศสัมพันธ์ได้ตลอดการตั้งครรภ์ เพียงระมัดระวังเรื่องความรุนแรงและน้ำหนักที่กดทับ ถ้ามีประวัติเลือดออก แท้ง คลอดก่อนกำหนด รกเกาะต่ำ ควรงดการมีเพศสัมพันธ์ช่วงครรภ์ 1 -3 เดือนป้องกันการแท้ง และช่วง 7-9 เดือนป้องกันการคลอดก่อนกำหนด
หัวนมแตกยังให้ลูกกินนมได้ค่ะ อาการหัวนมแตก สาเหตุเกิดจากคุณแม่ให้ลูกดูดนมโดยงับไม่ถึงลานนม ให้ดูดแต่หัวนมจึงทำให้หัวนมแตก
อาการของหัวนมแตก เริ่มแรกก่อนที่หัวนมจะแตก บริเวณหัวนมจะพุพอง มีน้ำใต้ผิวของหัวนมก่อน ต่อมาจะเห็นเป็นเส้นๆสีคล้ำ ต่อมาจะแตกเป็นแผลขณะให้นมลูกอาจมีเลือดปนออกมากับน้ำนมคะ
การรักษาหัวนมแตก หลังให้ลูกดูดนมแล้ว คุณแม่เช็ดหัวนมด้วยน้ำอุ่นให้สะอาดหลังจากนั้นให้บีบน้ำนมออกมาทาหัวนม อาการหัวนมแตกจะดีขึ้น ในกรณีที่หัวนมแตกทั้งสองข้าง คุณแม่ควรให้ลูกดูดนมข้างที่รู้สึกเจ็บน้อยก่อนจึงจะให้ไปดูดข้างที่รู้สึกเจ็บมาก
การป้องกันหัวนมแตก
1) ถ้าหัวนมแม่สั้นกว่า 0.5เซนติเมตรหรือยาวกว่า1 เซนติเมตร คุณแม่จึงต้องเรียนรู้การให้ลูกดูดนมเป็นพิเศษค่ะ
2) ลูกลิ้นไก่สั้นหรือเปล่า ถ้าสั้นต้องได้รับการแก้ไขจากแพทย์
3) คุณแม่ให้ลูกดูดนมโดยให้งับลึกถึงลานนมทุกครั้ง
4) ขณะให้ลูกดูดนม เมื่อต้องการเปลี่ยนให้ลูกไปดูดนมอีกข้างหนึ่ง ให้คุณแม่กดคางลูกให้ลูกอ้าปากเพื่อไม่ให้เหงือกครูดหัวนม
5) ขณะให้ลูกดูดนม คุณแม่ควรอุ้มลูกให้หน้าท้องของคุณแม่และลูกแนบชิดกันเพื่อให้ลูกดูดนมได้ถนัด
คุณแม่มีน้ำนมเพียงพอแน่นอนค่ะ ทั้งนี้เพราะในระยะแรกน้ำนมจะมีปริมาณน้อยแต่ให้พลังงานสูง อีกทั้งความจุของกระเพาะอาหารของทารกเองก็เล็กมาก เพียงแต่คุณแม่ควรปฎิบัติดังนี้นะคะ - ให้ลูกดูดถูกวิธีโดยให้งับลึกถึงลานนม และดูดบ่อยๆทุก2-3 ชั่วโมง นานข้างละ 20 นาทีให้เกลี้ยงเต้า ซึ่งจะสังเกตได้จากเต้านมจะนิ่มลง และยังเป็นการกระตุ้นการสร้างน้ำนมด้วย หากลูกอิ่ม กินไม่หมด ให้ปั๊มน้ำนมที่เหลือเก็บสต็อกไว้ได้ค่ะ -คุณแม่กินอาหารให้เพียงพอ หลากหลายชนิดให้ครบ 5 หมู่ มีข้าว หรือข้าวกล้อง เนื้อสัตว์ต่างๆ ปลาทะเล ตับ ไข่ นม ผักต่างๆ ผักสมุนไพรต่างๆ ผลไม้ที่มีสีและรสชาติต่างกัน อาหารกระตุ้นน้ำนมที่ดีเป็นภูมิปัญญาไทย เช่น แกงเลียงที่มีผักใบเขียวและเหลือง หัวปลี ผักสมุนไพรหลากหลาย ไก่ผัดขิง ผักกุยช่าย และผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ดื่มน้ำอุ่นๆหลังให้นมทุกมื้อ จิบน้ำบ่อยๆอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว ดื่มนมวันละ 1-2 แก้ว และการพักผ่อนที่เพียงพอ หลีกเลี่ยงอาหารหมักดอง อาหารรสจัด เครื่องดื่มและอาหารที่มีแอลกอฮอล์ รวมทั้งยาดองเหล้า กาแฟ บุหรี่ เท่านี้คุณแม่ก็จะมีน้ำนมมากพอสำหรับลูก สำหรับยาทุกชนิดควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน
ผมร่วงหลังคลอดเป็นเรื่องปกติเกิดจากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในร่างกายระหว่างตั้งครรภ์ เมื่อฮอร์โมนปรับเข้าสู่สภาวะปกติซึ่งประมาณ 6-12 เดือนหลังคลอดแล้วอาการก็จะหายไปค่ะ ในระหว่างที่ผมร่วงมาก คุณแม่อาจถือโอกาสเปลี่ยนทรงผม โดยอาจตัดผมสั้นซึ่งเป็นทรงที่ต้องการการดูแลน้อย ไม่ต้องหวีบ่อยๆ เพราะการหวีผมหรือแปรงผมแรงๆและบ่อยๆนั้นจะทำให้ผมร่วงมากขึ้น การรับประทานอาหารประเภทโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ ปลา ถั่ว อย่างเพียงพอก็ช่วยได้ค่ะ
น้ำคาวปลา เป็นเลือดปกติที่ออกจากบาดแผลที่รกเกาะในโพรงมดลูก แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ปกติควรจะหายไปภายใน 15-30 วันหลังคลอด ถ้าคลอดด้วยวิธีผ่าตัดน้ำคาวปลาจะหมดเร็วเพราะแผลโพรงมดลูกจะถูกดูแลโดยแพทย์ขณะผ่าตัดช่วยคลอด อาจจะไม่ถึง 10 วัน บางคนมีเพียงแค่ 4-5 วัน โดยทั่วไปน้ำคาวปลาจะค่อยๆหายไปเหมือนกับการหายไปของประจำเดือน แต่จะหมดไปช้ากว่าการมีประจำเดือนเพราะแผลที่เกิดจากรกเกาะลึกกว่าเยื่อบุโพรงมดลูก
ระยะที่ 1 น้ำคาวปลาระยะแรกจะเป็นน้ำเลือดสีแดงสด พบอยู่ 3-5วัน
ระยะที่ 2 น้ำคาวปลาในระยะนี้จะมีลักษณะเป็นสีแดงจางๆ หรือเป็นเส้นเลือดเล็กๆผสมน้ำสีแดงจาง หรือเส้นเลือดสีคล้ำผสมน้ำเหลือง น้ำคาวปลาในระยะนี้จะหายไปภายใน 10-15 วันหลังคลอด
ระยะที่ 3 น้ำคาวปลาระยะนี้จะมีลักษณะของไข่ขาวจำนวนน้อยมาก จะมีจนถึงเกือบสัปดาห์ที่ 3-4 หลังคลอด
ในขณะที่คุณแม่มีน้ำคาวปลาต้องรักษาความสะอาดบริเวณอวัยยวะสืบพันธุ์ให้ดี เพราะแผลในโพรงมดลูกยังไม่หายสนิท ถ้าน้ำคาวปลามีสีแดงสดหรือมีกลิ่นเหม็น อาจเกิดการติดเชื้อได้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีค่ะ
"เนื่องจากเอ็นมีการยืดขยาย ข้อต่อต่างๆหลวมและยืดหยุ่นมากขึ้นโดยเฉพาะบริเวณอุ้งเชิงกราน ขนาดของมดลูกขยายใหญ่ขึ้น ประกอบกับส่วนนำของทารกเคลื่อนลงมาต่ำและมากดกระดูกรองนั่ง(Coccyx) การรับน้ำหนักของมดลูกที่โตและการที่ส่วนนำกดกระดูกรองนั่ง จึงทำให้คุณแม่ครรภ์แก่มีอาการปวดหลังได้
การป้องกัน
-ให้ใส่ร้องเท้าส้นเตี้ย สวมสบาย
-เวลายืนพยายามดึงให้หลังตรง ไม่แอ่นไปตามท้องที่ถ่วงไปด้านหน้า เพราะจะทำให้ปวดหลังมากขึ้น ไม่ควรยืนหรือเดินมากเกินไป ไม่ยกของหนัก การทรงตัวในท่าต่างๆให้ถูกต้อง เช่น ย่อเข่าลงหยิบของที่พื้น ไม่ก้มลงไปหยิบ
- เวลานอนหงายใช้หมอนหนุนใต้เข่าพอรู้สึกสบาย ถ้านอนตะแคง ให้กอดหมอนข้างเพื่อไม่ให้กดทับแขนอีกข้าง และงอเข่า 1 หรือ 2 ข้าง เข่าด้านบนหนุนด้วยหมอนนุ่มๆ หรือใช้หมอนขั้นอยู่ระหว่างเข่า 2 ข้าง และมีหมอนอีกใบหนุนท้องไว้
- เวลานั่งให้ก้นชิดพนักเก้าอี้ ถ้ามีอาการปวดให้ใช้วิธีประคบร้อน การออกกำลังกายเพื่อยืดกล้ามเนื้อส่วนหลัง เช่น ท่าแมว ก็ช่วยบรรเทา
-ให้สวมสเตย์(I-Cheer Maternity Support Belth)พยุงหน้าท้องร่วมด้วยค่ะ"
ระหว่างตั้งครรภ์เส้นเอ็นที่ดึงรั้งมดลูกทำงานมาก เพื่อให้เส้นเอ็นที่ดึงรั้งมดลูกให้กลับเข้าที่จึงแนะนำคุณแม่หลังคลอด ไม่ให้นั่งยองๆ ยกของหนัก ก้าวขึ้นหรือลงบันได ซึ่งจะทำให้ต้องเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง เอ็นทำงานหนัก พฤติกรรมดังกล่าวจะทำให้มดลูกหย่อนได้