Enfa สรุปให้
เลือกอ่านตามหัวข้อ
นโยบายเรียนฟรี 15 ปี เป็นหนึ่งในนโยบายสวัสดิการเพื่อประชาชนที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้เด็กไทยทุกคนเข้าถึงระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองเพื่อเป้าหมายว่าจะต้องไม่มีเด็กไทยคนใดต้องหลุดออกจากระบบการศึกษาเพราะความยากจน วันนี้ Enfa จะพาคุณพ่อคุณแม่มาทำความรู้จักกับ โครงการเรียนฟรี 15 ปี ให้มากขึ้น มาดูกันว่า นโยบายเรียนฟรี 15 ปี 2567/2568 มีรายละเอียดอย่างไรบ้าง และเด็ก ๆ จะได้รับเงินอุดหนุนจำนวนเท่าใด เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายทางการศึกษาจริงหรือไม่
เรียนฟรี 15 ปี คือนโยบายที่รัฐบาลจะเป็นผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษา เพื่อลดภาระทางการเงินของผู้ปกครอง และช่วยผลักดันให้เด็กไทยสามารถเข้าถึงระบบการศึกษาอย่างทั่วถึงและถ้วนหน้า
โดยรัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณให้กับสถานศึกษาสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายขั้นพื้นฐานทางการศึกษาทั้งหมด 5 รายการ ดังนี้
อย่างไรก็ตาม แม้รัฐบาลจะมีงบประมาณช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายทางการศึกษาก็จริง แต่อาจมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษา ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ยังคงจำเป็นจะต้องมีเงินสำรองไว้อย่างเพียงพอ เพื่อช่วยสนับสนุนการศึกษาของลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ค่าอุปกรณ์การเรียนใหม่ที่ชำรุดหรือสูญหาย ชุดนักเรียนใหม่ ค่าเทอมที่เพิ่มขึ้น ค่ากิจกรรมส่งเสริมนักเรียนอื่น ๆ เป็นต้น
คำว่า โครงการเรียนฟรี นั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นมาเมื่อไม่กี่ปีนี้ แต่มีการพูดถึงคำว่า เรียนฟรี ไว้ในรัฐธรรมนูญปีพ.ศ. 2540 ในมาตรา 43 ที่กล่าวเอาไว้ว่า
“บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย
การจัดการศึกษาอบรมของรัฐ ต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและเอกชน ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ
การจัดการศึกษาอบรมขององค์กรวิชาชีพและเอกชนภายใต้การกำกับดูแลของรัฐย่อมได้รับความคุ้มครอง ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ”
ซึ่งจากเนื้อหาดังกล่าวในมาตรา 43 ก็ได้ถูกนำมาปรับปรุงให้เกิดเป็นโครงการเรียนฟรีอย่างเป็นรูปธรรมในรัฐบาลสมัยถัดมาและต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
นอกจากคำว่าเรียนฟรีจะถูกกล่าวถึงในรัฐธรรมนูญปีพ.ศ. 2540 แล้ว ในรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2550 ก็ยังได้สานต่อและกล่าวถึงนโยบายเรียนฟรีเอาไว้ใน มาตรา 49 ด้วย ซึ่งได้กล่าวเอาไว้ว่า
“บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ผู้ยากไร้ ผู้พิการหรือทุพพลภาพ หรือผู้อยู่ในภาวะยากลำบาก ต้องได้รับสิทธิตามวรรคหนึ่งและการสนับสนุนจากรัฐเพื่อให้ได้รับการศึกษาโดยทัดเทียมกับบุคคลอื่น”
ก่อนจะเกิดเป็นโครงการเรียนฟรีขึ้นมาอย่างเป็นรูปธรรมจริง ๆ ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งได้มีมติจากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2552 ว่าด้วยเรื่องการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งถือเป็นจุดกำเนิดของคำว่า นโยบายเรียนฟรี อย่างจริงจังในประเทศไทย โดยในแรกเริ่มนั้นจะเรียกนโยบายดังกล่าว “เรียนฟรี 12 ปี”
และในท้ายที่สุดนโยบายนี้ก็ได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อว่า “เรียนฟรี 15 ปี” ในสมัยรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ภายใต้การนำของนายประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งมีมติให้จัดการเรียนการสอนขั้นพื้นฐาน 15 ปี โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย มีผลครอบคลุมตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล ไปจนถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หรือระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.3) หรือเทียบเท่า
จากที่แต่เดิมเป็นเพียงโครงการเรียนฟรี 12 ปี เริ่มในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงในสมัยรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และได้มีการประกาศบังคับใช้โครงการเรียนฟรี 15 ปีทั่วประเทศอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2559
รายการอุปกรณ์การเรียน อาจแบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ โรงเรียนเป็นผู้จัดจำหน่ายเองไว้อย่างครบชุดตามจำนวนงบประมาณอุดหนุนค่าอุปกรณ์การเรียน หรือผู้ปกครองสามารถจัดหาซื้อให้นักเรียนได้ตามความเหมาะสม ภายใต้จำนวนงบประมาณที่ได้รับจากโครงการเรียนฟรี 15 ปี
การเบิกเงินอุดหนุนค่าอุปกรณ์การเรียนตามนโยบายเรียนฟรี 15 ปีนั้น จะต้องมีใบเสร็จแนบมาเพื่อใช้สำหรับการเบิกเงินค่าอุปกรณ์การเรียนด้วยทุกครั้ง
โดยรายการอุปกรณ์การเรียนนั้น จะต้องเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการเรียนและการศึกษาของผู้เรียน ไม่ว่าจะเป็นดินสอ ปากกา ยางลบ ไม้บรรทัด น้ำยาลบคำผิด สมุด กระเป๋านักเรียน ซิมการ์ดสำหรับใช้งานอินเทอร์เน็ตเพื่อการศึกษา เป็นต้น
ปัจจุบันนี้งบประมาณการอุดหนุนค่าใช้จ่ายทางการศึกษาในโครงการเรียนฟรี 15 ปี ยังคงได้รับการสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถแบ่งรายการค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อการศึกษาได้ ดังนี้
การศึกษาที่เหมาะสมถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยพัฒนา ส่งเสริม และกระตุ้นให้เด็กมีทักษะด้านสมอง ความรู้ และความสามารถอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเติบโตได้อย่างมีความสุข พร้อมด้วยทักษะ EF ที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
และเพื่อให้เด็กมีความพร้อมต่อการเรียนรู้ที่สมวัย คุณพ่อคุณแม่ต้องใส่ใจกับเรื่องของโภชนาการ ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้ลูกมีร่างกายแข็งแรง พร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 6 เดือนแรกของชีวิต ทารกทุกคนควรจะต้องได้กินนมแม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกน้อยได้รับ MFGM สุดยอดสารอาหารในนมแม่หนึ่งเดียวที่มีงานวิจัยรองรับว่า* ช่วยให้มี IQ และ EF ที่เหนือกว่าตั้งแต่ 5 ขวบปีแรก ให้ลูกพร้อมกว่าเมื่อถึงวัยเข้าเรียน โดย MFGM ในนมแม่ เป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างเส้นใยประสาท (Myelin Sheath) และเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งสัญญาณประสาทเชื่อมต่อระหว่างเซลล์สมอง ทำให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเรียนรู้และจดจำได้ดียิ่งขึ้น
*สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีและศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย. นมแม่กับการพัฒนาทักษะสมองส่วน Executive Function. 2561
Enfa สรุปให้ เรียนฟรี 15 ปี เป็นโครงการอุดหนุนค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการศึกษา เพื่อขยายโอกาสให้เด...
อ่านต่อ