นมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารก เอนฟาสนับสนุนให้คุณแม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือนไปจนถึง 2 ปี หรือนานกว่าตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) Enfa Smart Club พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลคุณแม่และลูกน้อย ด้วยการมอบข้อมูลโภชนาการและพัฒนาการลูกน้อยแต่ละวัย ที่เป็นประโยชน์และเชื่อถือได้ผ่านเว็บไซต์ enfababy.com

เด็ก LD คืออะไร เด็กพิเศษ LD รักษาให้หายขาดได้ไหม

Enfa สรุปให้

  • เด็ก LD หรือ Learning Disorder เกิดจากปัจจัยทางด้านพันธุกรรม หรือเกิดจากการทำงานของระบบประสาทและสมองที่ผิดปกติ
  • เด็ก LD คือ เด็กที่มีภาวะการเรียนรู้บกพร่อง แบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ ความบกพร่องด้านการอ่าน การเขียน และการคำนวณทางคณิตศาสตร์
  • โรค LD แม้จะทำให้บกพร่องทางด้านการอ่าน การเขียน และการคำนวณ แต่เด็กที่เป็นโรค LD ยังสามารถทำกิจกรรมบางอย่างได้ดี หรือมีทักษะบางอย่างที่โดดเด่น

เลือกอ่านตามหัวข้อ

การหมั่นสังเกตพัฒนาการเจริญเติบโตของลูกน้อยอย่างใกล้ชิด จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นความผิดปกติของพัฒนาการของลูกได้ เพราะบางครั้งลูกอาจส่งสัญญาณของโรค LD ที่จำเป็นจะต้องได้รับการดูแลและเสริมพัฒนาการอย่างเหมาะสม เพื่อให้ลูกสามารถเติบโตได้อย่างมีความสุข และมีพัฒนาการที่สมวัย แต่ เด็ก LD คืออะไร? และโรค LD สามารถรักษาได้ไหม? บทความนี้จาก Enfa มีสาระน่ารู้เกี่ยวกับการดูแลเด็ก LD มาฝากค่ะ

โรค LD คืออะไร


โรค LD หรือ Learning Disorder คือ โรคการเรียนรู้บกพร่อง ถือว่าเป็นความผิดปกติด้านการเรียนรู้อย่างหนึ่งที่ส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการเรียนรู้ต่ำกว่าเด็กในวัยเดียวกันอย่างน้อย 2 ชั้นปี แม้ว่าจะมีระดับสติปัญญาปกติ และสามารถทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้ดีเท่ากับคนอื่น หรือดีกว่าคนอื่น แต่จะมีความบกพร่องเฉพาะด้านการอ่าน การเขียน และการคำนวณทางคณิตศาสตร์

เด็ก LD คืออะไร


เด็กแอลดี คือ เด็กที่มีพัฒนาการเรียนรู้ผิดปกติ ที่แม้ภายนอกจะดูเหมือนทุกอย่างปกติ สามารถพูดคุยโต้ตอบได้ มีความเข้าใจในหลาย ๆ เรื่อง และทำกิจกรรมบางอย่างได้ดีตามปกติ หรือดีกว่าคนอื่น

แต่เมื่อถึงกระบวนการที่จะต้องอ่าน เขียน และคิดคำนวณ จะพบว่าเด็ก LD ไม่สามารถตอบสนองต่อทักษะดังกล่าวได้ดีอย่างที่ควรจะเป็น

ซึ่งความบกพร่องทางด้านการเรียนรู้นี้ จะสร้างปมด้อยให้เด็ก LD รู้สึกกดดัน หรือรู้สึกแย่กับตัวเอง ที่ไม่สามารถเรียนรู้และทำความเข้าใจในเรื่องทั่วไปที่เพื่อน ๆ สามารถทำได้ปกติ

มากไปกว่านั้น หากพ่อแม่ขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องโรค LD ก็จะยิ่งเป็นการตอกย้ำทำให้เด็ก LD รู้สึกไม่มั่นใจในตนเอง กดดันตัวเอง มีภาวะซึมเศร้า บางครั้งอาจมีการต่อต้านเวลาถูกบังคับให้ต้องเรียนเขียนอ่าน หรือมีภาวะอารมณ์แปรปรวน จนกลายเป็นเด็กก้าวร้าว

สาเหตุของโรค LD เกิดจากอะไร


โรค LD เกิดจากอะไร? สำหรับโรคบกพร่องทางการเรียนรู้ หรือ โรค LD นั้น สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายเหตุปัจจัย ดังนี้

  • เกิดจากปัจจัยด้านพันธุกรรม อาจมีญาติพี่น้องสายตรงที่เคยเป็นโรค LD สืบทอดมาในครอบครัว
  • โครโมโซมของเด็กมีความผิดปกติ ทำให้ส่งผลเสียต่อกระบวนการเรียนรู้
  • สมองส่วนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการรับรู้ การสื่อสาร การเรียนรู้ การใช้ภาษา การคำนวณ ทำงานผิดปกติ
  • คุณแม่ได้รับสารตะกั่วเข้าสู่ร่างกายในปริมาณมากขณะตั้งครรภ์ สารตะกั่วที่สะสมในร่างกายสามารถส่งผลเสียต่อระบบประสาทและสมองของทารกในครรภ์ได้
  • เด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีสารอันตรายอย่างสารตะกั่วรั่วไหล ซึ่งแม้เข้าสู่ร่างกายในระดับต่ำ ก็สามารถส่งผลเสียต่อสมองของเด็ก และมีผลต่อพัฒนาการด้านการเรียนรู้ได้เช่นกัน

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าเด็กที่เป็นโรค LD นั้น ไม่ได้มีความบกพร่องทางการเรียนรู้เพราะเด็กไม่ขยัน หรือเกียจคร้าน หากแต่เป็นปัญหาด้านพัฒนาการที่มีปัจจัยมาจากพันธุกรรมและสภาพแวดล้อม

ซึ่งหากพ่อแม่เข้าใจถึงสาเหตุและเรียนรู้วิธีรับมือเด็ก LD เป็นอย่างดี ก็จะสามารถดูแลและส่งเสริมพัฒนาการของลูกให้ดีขึ้นได้ แต่ถ้าหากพ่อกับแม่ไม่พยายามจับสังเกตความผิดปกติของลูก หรือคิดว่าลูกแค่ไม่ตั้งใจเรียนรู้ ก็จะทำให้ส่งเสริมและสนับสนุนพัฒนาการของลูกไม่ถูกทาง และอาจสร้างปัญหาทางด้านจิตใจกับลูกอีกด้วย

เด็ก LD มีอาการอย่างไรบ้าง


โรค LD ในเด็ก มีกลุ่มอาการที่คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตได้ ดังนี้

  • สัญญาณความผิดปกติด้านการอ่าน เช่น อ่านช้า อ่านผิด อ่านสะกดคำไม่ได้ อ่านข้าม เพิ่มคำมาเอง อ่านแล้วจับใจความในเรื่องที่อ่านไม่ได้
  • สัญญาณความผิดปกติด้านการเขียน เช่น เขียนผิด เขียนสะกดคำผิด เขียนวรรณยุกต์ สระ หรือพยัญชนะสลับที่กัน เขียนตัวหนังสือกลับหน้ากลับหลัง เขียนได้ช้า แม้เป็นคำง่าย ๆ ก็ใช้เวลานาน หรือไม่ชอบเขียน
  • สัญญาณความผิดปกติด้านการคำนวณคณิตศาสตร์ เช่น เขียนเลขผิด ไม่เข้าใจจำนวนณตัวเลข ไม่เข้าใจค่าของตัวเลข ไม่เข้าใจวิธีคำนวณพื้นฐาน บวก ลบ คูณ หาร

หากคุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นความผิดปกติของลูก ซึ่งเป็นความบกพร่องทางการเรียนรู้ที่ต่ำกว่าเด็กในวัยเดียวกันอย่างน้อย 2 ชั้นปี ควรพาลูกไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยว่าลูกมีแนวโน้มที่จะเป็นโรค LD จริงหรือไม่

หากลูกได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค LD จริง คุณพ่อคุณแม่จะได้รับคำแนะนำในการดูแลและบำบัดพัฒนาการของลูกอย่างเหมาะสม เพื่อเพิ่มพูนและส่งเสริมพัฒนาการของลูกที่ถูกทาง และทำให้ลูกมีความสุขกับการเรียนรู้มากขึ้น

เด็ก LD มีกี่ประเภท


เด็ก LD สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ

  • ความบกพร่องด้านการอ่าน แม้ถึงวัยที่อ่านหนังสือได้แล้ว แต่ลูกน้อยยังไม่สามารถอ่านออกได้ หรืออ่านสะกดคำผิด อ่านช้า อ่านผิด หรืออ่านได้ แต่ไม่สามารถสรุปเนื้อหาและทำความเข้าใจกับเรื่องที่เพิ่งอ่านไปได้
  • ความบกพร่องด้านการเขียน เด็กมักจะเขียนช้า เขียนผิด เขียนสะกดคำไม่ถูกต้อง มีการเว้นวรรคผิด หรือเขียนแล้วแต่ผู้อื่นไม่สามารถเข้าใจในสิ่งที่เขียนได้
  • ความบกพร่องด้านคณิตศาสตร์ เด็กไม่สามารถเข้าใจและไม่สามารถแก้ไขโจทย์ปัญหาในทางคณิตศาสตร์ได้ เขียนตัวเลขผิด ไม่เข้าใจระบบการบวก ลบ คูณ หาร ในระดับพื้นฐาน ไม่เข้าในค่าของตัวเลข นับเลขผิด เป็นต้น

LD กับ สมาธิสั้น ต่างกันอย่างไร


เด็กที่โรคสมาธิสั้น (Attention Deficit Hyperactivity Disorder) หรือ ADHD นั้น มองเผิน ๆ ก็อาจจะทำให้รู้สึกว่าคล้ายกับเด็ก LD เพราะมีปัญหาด้านกระบวนการเรียนรู้คล้าย ๆ กัน แต่จริง ๆ แล้วมีความแตกต่างกัน ดังนี้

เด็กสมาธิสั้น จะมีปัญหาในระดับพฤติกรรมและการควบคุมสมาธิ เช่น

  • อารมณ์แปรปรวน
  • เบื่อง่าย
  • ขี้ลืม
  • รออะไรนาน ๆ ไม่ได้
  • ชอบพูดจาสวนในขณะที่คนอื่นพูด
  • อยู่นิ่ง ไม่ค่อยได้

ส่วนเด็ก LD นั้น จะมีปัญหาเฉพาะด้านในกระบวนการเรียนรู้ คือ

  • อ่านช้า อ่านผิด
  • สะกดคำไม่ได้
  • อ่านจับใจความไม่ได้
  • เขียนผิด เขียนสลับพยัญชนะ วรรณยุกต์ สระ
  • ไม่เข้าใจการคำนวณในระดับพื้นฐาน
  • ไม่เข้าใจจำนวนตัวเลข ค่าของตัวเลข

อย่างไรก็ตาม มีเด็กหลายคนที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีทั้งอาการของโรคสมาธิสั้น และโรค LD ควบคู่กัน ซึ่งจะส่งผลให้เด็กมีพฤติกรรมการเรียนรู้ที่แตกต่างไปจากเด็กคนอื่น ๆ และมีความบกพร่องในการเรียนรู้ที่ต่ำกว่าเกณฑ์เด็กในวัยเดียวกัน

โรค LD รักษาหายไหม


โรคแอลดี ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่...สามารถดูแล ส่งเสริม และพัฒนาศักยภาพของเด็กให้มีพัฒนาการด้านการเรียนรู้ที่ดีขึ้นได้

ซึ่งจะต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจของพ่อแม่ และความรู้ความสามารถของครูที่โรงเรียน เพื่อปรับวิธีการดูแลลูก และแนวทางในการเรียนการสอนให้เหมาะกับภาวะของลูก

ทั้งยังต้องมีการทำกิจกรรมบำบัดต่าง ๆ เช่น ศิลปะบำบัด ดนตรีบำบัด เพื่อช่วยกระตุ้นการเรียนรู้และพัฒนาการทางอารมณ์ของเด็กให้ดีขึ้น

โรค LD รักษาที่ไหน


โรค LD สามารถเข้ารับการรักษาได้ที่สถานพยาบาลที่มีคลินิกเฉพาะทาง หรือมีแพทย์เฉพาะทางที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการของเด็ก เช่น คลินิกโรค LD คลินิกเฉพาะทางที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนรู้และการพัฒนาเด็ก คลินิกจิตวิทยาเด็ก หรือคลินิกพัฒนาการ เป็นต้น

ลูกเป็น LD เรียนที่ไหน


เด็ก LD สามารถเข้าเรียนได้ทั้งโรงเรียนรวม คือ โรงเรียนที่ให้เด็กที่มีภาวะความบกพร่องเรียนรวมกับเด็กคนอื่น ๆ ได้ตามปกติ แต่จะมีการปรับสภาพแวดล้อมและการประเมินให้เหมาะสมกับความบกพร่องของเด็กรายบุคคล

หรือโรงเรียนร่วม คือ โรงเรียนที่ไม่มีการแบ่งแยกความบกพร่องและความพิการของเด็ก จัดการเรียนการสอนให้เหมาะกับความบกพร่องของเด็ก มีครูสำหรับสอนเด็กพิเศษร่วมกันครูที่สอนการเรียนรู้ตามปกติ หรืออาจกล่าวว่าเป็นโรงเรียนสำหรับเด็กพิเศษโดยเฉพาะ

เด็ก LD กับสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรรู้


คุณพ่อคุณแม่จำเป็นจะต้องทำความเข้าใจกับเด็ก LD ดังนี้

  • พัฒนาการเรียนรู้ที่บกพร่องของลูก ไม่ได้เกิดจากความเกียจคร้าน แต่เป็นผลพวงมาจากการทำงานที่ผิดปกติของระบบประสาทและสมอง หรือปัจจัยทางพันธุกรรม
  • พ่อแม่จำเป็นจะต้องเข้าใจในความบกพร่องของลูก เพื่อลดอัตตาในใจ ลดความคาดหวังว่าลูกจะต้องเก่งเหมือนคนอื่น และเปลี่ยนมาเป็นความมุ่งหวังที่จะให้ลูกได้เรียนรู้อย่างมีความสุขแทน
  • พ่อกับแม่ต้องมีความอดทนเป็นที่ตั้ง เพราะการบำบัดรักษาพัฒนาการที่บกพร่องของลูกนั้นต้องใช้ระยะเวลานาน และจำเป็นจะต้องทำการบำบัดดูแลอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เพื่อให้ลูกมีพัฒนาการดีขึ้น
  • หมั่นชื่นชมกับความสำเร็จของลูก แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่การมอบกำลังใจให้กัน ย่อมดีกว่าการเมินเฉย
  • ไม่ตำหนิ ไม่ทำโทษ ไม่ดุด่า แต่ต้องเปิดใจให้กว้าง ยอมรับ และสนับสนุนลูกอย่างเหมาะสม เพราะโรค LD คือสภาวะความบกพร่องที่ลูกไม่สามารถเลือกได้เองแต่กำเนิด

เลือกโภชนาการที่มี MFGM เพื่อ IQ และทักษะสมองเพื่อความสำเร็จ EF ที่เหนือกว่า


เด็กจะเติบโตมาพร้อมกับทักษะสมองที่ดีได้นั้น นอกเหนือจากการส่งเสริมและสนับสนุนการทำกิจกรรม และการเรียนรู้ที่สมวัยแล้ว การใส่ใจเลือกโภชนาที่ดี มีสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ ให้ลูกได้กินอาหารที่ประกอบไปด้วยเนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ ธัญพืชต่าง ๆ ก็จะช่วยให้ลูกน้อยได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทและสมอง ช่วยส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ที่ดีขึ้นอีกด้วย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าอยากให้ลูกมีพัฒนาการสมองดี ควรเลือกนมที่มี MFGM ซึ่งเป็นสุดยอดสารอาหารในนมแม่ สารอาหารสมองชนิดเดียวที่ช่วยให้ลูกมี IQ ที่เหนือกว่าตั้งแต่ 5 ปีแรก ประกอบด้วยไขมันและโปรตีนกว่า 150 ชนิด รวมทั้งสฟิงโกไมอีลิน ฟอสโฟลิปิด แกงกลิโอไซด์ ซึ่งมีประโยชน์ต่อการทำงานของระบบประสาทและสมอง

    • คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล. โรคบกพร่องทางการเรียนรู้. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.rama.mahidol.ac.th/ramamental/generalknowledge/child/09042014-1907. [14 พฤษภาคม 2025]

    • โรงพยาบาลมนารมย์. LD คืออะไร. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.manarom.com/blog/ld.html. [14 พฤษภาคม 2025]


    * นมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารก
    Enfa Smart Club สนับสนุนให้คุณแม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่าง
    เดียวอย่างน้อย 6 เดือนและให้นมแม่ควบคู่อาหารตามวัยอีก 2 ปี หรือนานกว่านั้น ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO)
    Enfa Smart Club พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลคุณแม่และลูกน้อย ด้วยการมอบข้อมูลโภชนาการและพัฒนาการลูกน้อยแต่ละวัย ที่เป็นประโยชน์และเชื่อถือได้ ผ่านเว็บไซต์ enfababy.com

    คุณกำลังเข้าถึงเนื้อหาจากผู้ให้บริการภายนอกเกี่ยวกับการซื้อหรือ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของบริษัท มี้ด จอห์นสัน นิวทริชัน (ประเทศไทย) จำกัด​

    กรุณากดยืนยันเพื่อดำเนินการต่อ

    Line TH
    Cart TH Join Enfamama