Enfa สรุปให้
เลือกอ่านตามหัวข้อ
หลายคนอาจสงสัยว่า โอกาสท้องของผู้หญิง มีมากน้อยแค่ไหน เพราะบางคนพยายามมาหลายเดือนแต่ก็ยังไม่ติด บางคนตั้งครรภ์โดยไม่คาดคิด นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมการเข้าใจร่างกายของเราเองถึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะการทำความเข้าใจว่าช่วงไหน “โอกาสตั้งครรภ์มากที่สุด” และช่วงไหน “โอกาสตั้งครรภ์น้อย” ช่วยให้คุณแม่วางแผนการมีลูกได้ง่ายขึ้นและเป็นระบบมากขึ้น ไม่ว่าคุณแม่จะอยู่ในช่วงวัยไหนก็ตาม ถ้าเข้าใจหลักการและนำไปปฏิบัติได้จริง การจะมีลูกตามเป้าหมายก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป
โอกาสท้องของผู้หญิง ตามช่วงวัยของคุณแม่ มักเป็นเรื่องแรก ที่ต้องนึกถึง เพราะธรรมชาติของร่างกายคนเรานั้น มีช่วงเวลาทองในการมีบุตร และเมื่ออายุมากขึ้น ความสามารถในการตั้งครรภ์ก็จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ การทำความเข้าใจกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตามช่วงวัย จะช่วยให้เราวางแผนได้ดียิ่งขึ้น
ช่วงอายุ 20-24 ปี
วัยนี้ถือได้ว่าเป็นช่วงที่มี โอกาสที่จะท้องมากที่สุด ในชีวิตของผู้หญิง เหตุผลเพราะไข่ยังอยู่ในภาวะสมบูรณ์ และแทบไม่มีความผิดปกติของโครโมโซมที่อาจทำให้เกิดปัญหาต่อการตั้งครรภ์ ทำให้เป็นช่วงวัยที่มีโอกาสการตั้งครรภ์สูงถึง 96 เปอร์เซ็นต์ ต่อปี หรือ 25 เปอร์เซ็นต์ต่อรอบเดือน และมีความเสี่ยงของการแท้งบุตรต่ำเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น
ช่วงอายุ 25-29 ปี
ยังคงเป็นช่วงที่มีโอกาสตั้งครรภ์ได้ค่อนข้างสูง ถึงแม้จะเริ่มมีภาวะความเครียดจากงานหรือชีวิตที่มากขึ้น แต่โอกาสท้องของผู้หญิงก็ยังไม่ลดลงมากนัก ในช่วงนี้ คุณผู้หญิงหลายคนอาจอยู่ในช่วงสร้างเนื้อสร้างตัว มีภาระหน้าที่งานที่ต้องรับผิดชอบ การวางแผนจะมีลูก ควรพิจารณาทั้งความพร้อมทางการเงิน และความสามารถในการดูแลลูกอย่างเต็มที่ ควรเริ่มหันมาดูแลร่างกายอย่างจริงจังมากขึ้น เช่น เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงการใช้ชีวิตที่เสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่ หรือการดื่มแอลกอฮอล์บ่อย
ช่วงอายุ 30-34 ปี
ปัจจุบันถือเป็นช่วงวัยที่นิยมมีลูกกันเยอะที่สุด จากสถานะทางการเงิน และการจัดการปัจจัยต่างๆ ของชีวิตเริ่มลงตัว ในแง่ของกายภาพ ช่วงนี้ยังถือว่าเป็นวัยที่มีโอกาสตั้งครรภ์ค่อนข้างสูง แต่เริ่มเห็นแนวโน้มว่าคุณภาพไข่จะทยอยลดลงตามอายุ
สาวๆ ที่อายุน้อยกว่า 35 ปี ที่อยากมีลูก อาจลองพยายามด้วยตัวเองก่อนภายในระยะเวลา 1 ปี ถ้าหากไม่สำเร็จควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้ชำนาญการ ขณะเดียวกันก็ต้องระมัดระวังภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ หรือเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ซึ่งเริ่มมีโอกาสสูงขึ้นตามอายุ ดังนั้น ควรตรวจสุขภาพก่อนตั้งครรภ์ และปรึกษาแพทย์เรื่องวิตามินเสริม เช่น โฟลิก หรือธาตุเหล็ก
ช่วงอายุ 35-39 ปี
ผู้หญิงหลังจากอายุ 32 ปีขึ้นไป ปริมาณและคุณภาพของไข่ภายในร่างกายจะลดลงอย่างช้า ๆ เมื่อเช้าสู่ช่วงอายุ 35-37 ปี ปริมาณของเซลล์ไข่ในร่างกายจะเหลืออยู่ราว 25,000 ฟอง และจะลดลงอย่างรวดเร็ว รวมถึงคุณภาพของไข่ก็ลดลงด้วยเช่นกัน นั่นก็หมายถึงโอกาสตั้งครรภ์ที่ลดต่ำลงด้วย ซึ่งอาจมีโอกาสตั้งครรภ์เพียง 12 เปอร์เซ็นต์ใน 3 เดือนเท่านั้น ในหลายกรณีอาจพิจารณาใช้วิธีการแพทย์เข้าช่วย เช่น การทำ IUI (ฉีดเชื้อเข้าสู่โพรงมดลูก) หรือ IVF (เด็กหลอดแก้ว) ถ้าโอกาสท้องตามธรรมชาติลดลงมาก
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีคุณแม่จำนวนไม่น้อยที่ตั้งครรภ์ในช่วง 35+ และประสบความสำเร็จในการคลอดลูกที่แข็งแรงได้ เพียงแต่ต้องดูแลตัวเองมากเป็นพิเศษ เพราะคุณแม่อายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป มักจะ เสี่ยงต่อปัญหาแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์หลายอย่าง หรือเวลาคลอดก็อาจตกเลือดหลังคลอดเนื่องจากมดลูกหดรัดตัวไม่ดี สำหรับตัวลูกก็อาจเสี่ยงเรื่องภาวะผิดปกติได้มากกว่าลูกของแม่ที่อายุน้อยกว่า
ช่วงอายุ 40 ปีขึ้นไป
หลังจากอายุ 40 ปี ปริมาณและคุณภาพของไข่นั้นจะลดลงอย่างมาก แม้ว่าเป็นคนที่มีสุขภาพดีก็อาจมีโอกาสตั้งครรภ์น้อยกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ต่อเดือน อีกทั้งคุณภาพของไข่ที่ลดลงอาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนในขณะตั้งครรภ์ได้หลายอย่าง เช่น ภาวะครรภ์เป็นพิษ การท้องนอกมดลูก เบาหวาน แท้งบุตร หรือความผิดปกติของโครโมโซมในทารกเพิ่มขึ้น ซึ่งคุณหมอมักแนะนำให้ตรวจคัดกรองโครโมโซม (NIPT) หรือการตรวจยืนยันอื่น ๆ เพื่อมั่นใจว่าทารกในครรภ์แข็งแรง
นอกจากอายุของผู้หญิงแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยใหญ่ที่ส่งผลต่อการตั้งครรภ์คือ ช่วงเวลาหรือช่วงวันภายในรอบเดือนของเรา เพราะการตกไข่ไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลา ร่างกายผู้หญิงจะไข่ตกเพียงครั้งเดียวต่อรอบเดือน ยกเว้นบางกรณีที่มีภาวะไข่ตกซ้ำซ้อน แต่ค่อนข้างหายาก ด้วยปัจจัยต่างๆ ที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนกับผู้หญิง ทำให้คำถามทำนองว่า โอกาสตั้งครรภ์มากที่สุด คือช่วงเวลาไหน หรือ ช่วงไหนที่มีโอกาสตั้งครรภ์มากที่สุด มักเป็นคำถามที่ถูกถามมากที่สุดอีกด้วย
ทำความเข้าใจกับวงจรรอบเดือน
โดยทั่วไปแล้ว รอบเดือน (Menstrual Cycle) ของผู้หญิงเฉลี่ยอยู่ที่ 28 วัน (บางคน 21-35 วันก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ) วันแรกของประจำเดือน คือวันแรกของรอบเดือน (Day 1) และวันก่อนที่จะมีประจำเดือนรอบถัดไปจะเป็นวันสุดท้ายของรอบเดือน ช่วงเวลาที่ไข่ตกมักอยู่ในช่วงกลางของรอบเดือน สำหรับคนรอบเดือน 28 วัน วันไข่ตกอาจอยู่ที่ประมาณ Day 14 นับจากวันแรกของประจำเดือน
ช่วงไหนที่ มีโอกาสตั้งครรภ์มากที่สุด
ผู้เชี่ยวชาญมักระบุว่า “ช่วง 2-3 วันก่อนวันไข่ตก” จนถึง “วันไข่ตก” คือช่วงที่มีโอกาสตั้งครรภ์มากที่สุด เนื่องจากเมื่อไข่สุกพร้อมปฏิสนธิ เมื่อมีอสุจิเข้ามาในช่วงเวลานี้ โอกาสที่จะผสมและฝังตัวในโพรงมดลูกจะสูง
ไข่ของผู้หญิงเมื่อหลุดจากรังไข่ จะมีช่วงชีวิตประมาณ 12-24 ชั่วโมงเท่านั้น ถ้าไม่ปฏิสนธิกับอสุจิก็จะสลายไป อสุจิของผู้ชายสามารถอยู่ในช่องคลอดและโพรงมดลูกได้ประมาณ 2-5 วัน (บางแหล่งระบุถึง 7 วัน แต่ส่วนใหญ่กล่าวว่า 3-5 วันเป็นค่าเฉลี่ย) ดังนั้น การมีเพศสัมพันธ์ในช่วง 2-3 วันก่อนวันไข่ตกจึงสามารถทำให้อสุจิรอพร้อมผสมกับไข่ได้ สัญญาณที่บ่งบอกว่าไข่กำลังจะตกมีลักษณะดังต่อไปนี้
โอกาสตั้งครรภ์น้อย คือช่วงไหน เป็นอีกคำถามยอนนิยมสำหรับบางคนอาจจะไม่ต้องการตั้งครรภ์ในตอนนี้ แล้วสงสัยว่า ถ้ามีเพศสัมพันธ์นอกช่วงไข่ตกจะปลอดภัยแค่ไหน จะเป็นช่วงหลังไข่ตกไปแล้ว หรือ ช่วงประจำเดือน จะมีโอกาสตั้งครรภ์น้อยจริงหรือเปล่า
1. หลังไข่ตกไปแล้ว
เมื่อไข่หลุดจากรังไข่และไม่ถูกผสมภายใน 12-24 ชั่วโมง ไข่ก็จะสลายตัว ฉะนั้นถ้าการมีเพศสัมพันธ์เกิดขึ้นหลังจากไข่ตกไปแล้ว 24 ชั่วโมง โอกาสที่จะท้องแทบไม่มี อย่างไรก็ตาม เราต้องคำนึงถึงโอกาสที่ไข่อาจตกช้าหรือเร็วกว่าเดิม ถ้าคำนวณพลาดก็อาจมีความเสี่ยงอยู่ จึงไม่สามารถบอกได้ว่า “ช่วงหลังไข่ตกแล้ว 2-3 วัน” จะปลอดภัย 100%
2. ช่วงประจำเดือน
บ่อยครั้งมีคำถามว่า “มีเพศสัมพันธ์ตอนมีประจำเดือนจะท้องไหม” โดยทั่วไปแล้ว โอกาสตั้งครรภ์น้อยมาก เพราะเป็นช่วงที่เยื่อบุโพรงมดลูกกำลังหลุดลอกออกมา ไข่ก็เพิ่งผ่านไป แต่ก็ต้องระวังในกรณีที่รอบเดือนสั้นมาก หรือมีภาวะไข่ตกผิดปกติ อาจเกิดเหตุไข่ตกในช่วงท้ายของการมีประจำเดือน ซึ่งถึงแม้โอกาสจะน้อยแต่ไม่ใช่ว่าเป็นศูนย์
3. ช่วงที่ไม่สอดคล้องกับวันไข่ตก
หากมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่นับแล้วมั่นใจว่า “ยังไม่ถึงวันไข่ตก” หรือ “ผ่านวันไข่ตกไปไกลแล้ว” โอกาสที่จะตั้งครรภ์ก็จะลดลงอย่างมาก แต่สำหรับคนที่รอบเดือนสั้นเกินไปหรือยาวเกินไป หรือนับวันไข่ตกไม่แม่น ก็ควรระวัง เพราะรอบเดือนอาจมาไม่ตรงตามทฤษฎี
4. ปัจจัยอื่น ๆ ที่ลดโอกาสตั้งครรภ์
ไม่ว่าจะเป็น สุขภาพของคู่สมรสฝ่ายชาย เช่น ปริมาณอสุจิ คุณภาพอสุจิ หรือ สุขภาพของฝ่ายหญิง เช่น ภาวะ PCOS (ถุงน้ำรังไข่หลายใบ) หรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) อาจทำให้การตกไข่ไม่สม่ำเสมอ กระทั่ง การใช้ยาคุมกำเนิด หรือวิธีคุมกำเนิดอื่น ๆ เช่น ถุงยางอนามัย ยาฉีดคุมกำเนิด ยาฝังคุมกำเนิด (มีประสิทธิภาพสูงถ้าใช้อย่างถูกวิธี)
แต่ถ้าใครไม่พร้อมมีลูก ก็ควรใช้วิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูงจะดีกว่า หรือถ้ากำลังวางแผน “ไม่อยากพลาด” ก็ต้องนับวันไข่ตกให้แม่นยำ
หนึ่งในวิธีสำคัญที่ช่วยให้คุณแม่สามารถวางแผนและเพิ่ม “โอกาสท้องของผู้หญิง” ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ก็คือการนับวันไข่ตก ซึ่งเป็นวิธีที่สามารถหาข้อมูล และทำได้ทั่วไป เพียงแต่ต้องมีการบันทึกข้อมูลรอบเดือนอย่างต่อเนื่อง ดังนี้
1. วิธีนับวันไข่ตกเบื้องต้น
ปรับใช้กับแต่ละเดือน: หากประจำเดือนเดือนใดมาไม่ตรง หรือมีความแปรปรวน อาจต้องใช้สูตรอื่นๆ เช่น วิธีการสังเกตมูกไข่ตก หรืออุณหภูมิร่างกายร่วมด้วย
2. ใช้วิธีวัดอุณหภูมิร่างกาย (BBT)
BBT (Basal Body Temperature) คืออุณหภูมิของร่างกายขณะพักผ่อนเต็มที่ ซึ่งมักวัดทันทีหลังตื่นนอนก่อนลุกจากที่นอน หลังไข่ตก อุณหภูมิจะเพิ่มขึ้นประมาณ 0.3-0.5 °C ถ้ามีการจดบันทึกเป็นกราฟทุกวันจะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน แต่วิธีนี้อาจไม่เหมาะกับคนที่มีวิถีชีวิตไม่แน่นอน หรือพักผ่อนไม่เป็นเวลา เพราะค่าที่ได้อาจคลาดเคลื่อน
3. สังเกตมูกไข่ตก
สังเกตลักษณะและปริมาณมูกไข่ตกในแต่ละวัน ช่วงก่อนไข่ตก มูกจะใส เหนียว ยืดได้คล้ายไข่ขาวดิบ และมีปริมาณมากกว่าปกติ เมื่อมูกมีลักษณะดังกล่าว เป็นสัญญาณว่าร่างกายกำลังจะไข่ตกในไม่กี่วัน ควรวางแผนมีเพศสัมพันธ์ในช่วงนี้เพื่อเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์
4. ชุดทดสอบไข่ตก (Ovulation Test Kit)
ปัจจุบันมีชุดทดสอบไข่ตกที่วัดระดับฮอร์โมน LH ในปัสสาวะ หากแถบขึ้นเข้มแปลว่าระดับ LH พุ่งสูง กำลังจะไข่ตกใน 24-36 ชั่วโมงข้างหน้า แม้วิธีนี้จะมีค่าใช้จ่าย แต่ค่อนข้างแม่นยำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการวางแผนอย่างจริงจัง
5. เคล็ดลับการใช้ประโยชน์จากวันไข่ตก
เมื่อเราพูดถึง “โอกาสท้องของผู้หญิง” หรือ “โอกาสตั้งครรภ์มากที่สุด” แน่นอนว่าหลายคนคงนึกถึงเป้าหมายสูงสุด คือ การได้ต้อนรับสมาชิกใหม่อย่างที่ตั้งใจไว้ แต่การตั้งครรภ์เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเดินทางอีกยาวไกล สิ่งสำคัญคือการเตรียมความพร้อมด้านสุขภาพและโภชนาการเพื่อให้ลูกน้อยได้รับสิ่งที่ดีที่สุด
การได้รับโภชนาการที่ดี มีคุณภาพ ซึ่งไม่เพียงสำคัญกับพัฒนาการลูกในครรภ์ แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพ และช่วยสร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้คุณแม่เองด้วย
โภชนาการที่ดีหมายถึง การที่คุณแม่ได้รับสารอาหารอย่างสมดุล คือได้รับทั้งสารอาหารหลัก (โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน) และสารอาหารรอง (เกลือแร่ และวิตามิน) ซึ่งช่วยส่งเสริมการทำงานของจุลินทรีย์ชนิดดีในลำไส้ของคุณแม่
นอกจากนี้ คุณแม่ตั้งครรภ์ควรเสริมสารอาหารอย่างกรดโฟลิก และวิตามินบี 12 ที่มีบทบาทสำคัญในระบบภูมิคุ้มกัน รวมไปถึงการออกกำลังกาย การดูแลสุขภาพใจให้ดี เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณแม่ และเจ้าตัวน้อย
บทความแนะนำสำหรับว่าที่คุณแม่
Enfa สรุปให้ รอบเดือนเกิน 35 วัน ไข่ตกวันไหน ผู้ที่มีประจำเดือน 35 วัน วันไข่ตกจะเกิดขึ้นวันที่...
อ่านต่อEnfa สรุปให้ มดลูกคว่ำ คือ ภาวะที่มดลูกเอียงไปด้านหลังของร่างกาย แทนที่จะเอียงไปด้านหน้าแบบปกติ ...
อ่านต่อEnfa สรุปให้ วิธีแก้เคล็ดให้มีลูก แม้ไม่มีผลการศึกษาและผลการวิจัยที่เพียงพอจะให้การรับรองว่าได้ผ...
อ่านต่อ