นมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารก เอนฟาสนับสนุนให้คุณแม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือนไปจนถึง 2 ปี หรือนานกว่าตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) Enfa Smart Club พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลคุณแม่และลูกน้อย ด้วยการมอบข้อมูลโภชนาการและพัฒนาการลูกน้อยแต่ละวัย ที่เป็นประโยชน์และเชื่อถือได้ผ่านเว็บไซต์ enfababy.com

คู่มือการฝากครรภ์ครั้งแรก ค่าใช้จ่าย สิทธิ และการเตรียมตัว

Enfa สรุปให้

  • ค่าใช้จ่ายในการฝากครรภ์ครั้งแรกโดยทั่วไปอยู่ที่หลักร้อยถึงหลักพันในโรงพยาบาลรัฐ และหลักพันถึงหลายพันบาทในคลินิกหรือโรงพยาบาลเอกชน หากมีโปรแกรมเหมาจ่ายค่าใช้จ่ายอาจสูงถึงหลักหมื่น

  • ฝากครรภ์ครั้งแรก ค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับสถานพยาบาล คลินิกประมาณ 2,000–4,000 บาท โรงพยาบาลรัฐ 500–1,000 บาท (หรือฟรีหากใช้สิทธิ์บัตรทอง/ประกันสังคม) และโรงพยาบาลเอกชน 4,000–8,000 บาทขึ้นไป

  • ไปฝากครรภ์ครั้งแรกต้องเตรียมเตรียมบัตรประชาชน สิทธิ์การรักษาพยาบาล ประวัติสุขภาพ วันที่มีประจำเดือนครั้งสุดท้าย สมุดบันทึกคำถาม และเงินสำรองสำหรับค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

เลือกอ่านตามหัวข้อ

 

การฝากครรภ์ครั้งแรกคือก้าวสำคัญที่สุดของคุณแม่ตั้งครรภ์มือใหม่ เพราะเป็นการเริ่มต้นดูแลทั้งสุขภาพของคุณแม่และทารกในครรภ์ตั้งแต่ระยะแรก ๆ การไปฝากครรภ์ไม่ได้เป็นเพียงการตรวจครรภ์เท่านั้น แต่ยังช่วยให้แพทย์สามารถประเมินความเสี่ยง วางแผนการดูแล และให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับสุขภาพและวิถีชีวิตของคุณแม่ ดังนั้นการทำความเข้าใจเรื่องค่าใช้จ่าย การเตรียมตัว และสิทธิประโยชน์ที่มี จะช่วยให้คุณแม่และครอบครัววางแผนได้อย่างมั่นใจ

 

ฝากครรภ์ครั้งแรก ค่าใช้จ่าย


หนึ่งในคำถามที่พบบ่อยที่สุดคือ ฝากครรภ์ครั้งแรก ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่ ซึ่งค่าใช้จ่ายจะแตกต่างกันไปตามประเภทของสถานพยาบาลที่คุณแม่เลือก โดยสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้ค่ะ

 

ฝากท้องคลีนิคครั้งแรกกี่บาท 

คลินิกฝากครรภ์เป็นทางเลือกสำหรับคุณแม่ที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว และบรรยากาศที่เป็นกันเอง ค่าใช้จ่ายครั้งแรกมักอยู่ที่ 2,000–4,000 บาท ขึ้นอยู่กับบริการที่รวมไว้ เช่น ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ และอัลตราซาวนด์ หากคลินิกมีบริการแพ็กเกจพิเศษ เช่น การตรวจคัดกรองทารกหรืออัลตราซาวด์ 4 มิติ ค่าใช้จ่ายอาจสูงกว่านี้ คุณแม่ที่สะดวกไปพบแพทย์ที่คลินิกมากกว่า เนื่องจากใกล้บ้าน เดินทางสะดวก หรือค่าบริการไม่สูงมา สามารถเลือกฝากท้องที่คลินิกได้ค่ะ

 

ฝากท้องโรงพยาบาลรัฐครั้งแรกกี่บาท

โรงพยาบาลรัฐเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับคุณแม่ที่ต้องการค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงมาก หากไม่ได้ใช้สิทธิ์บัตรทองหรือสิทธิอื่น ๆ ค่าใช้จ่ายฝากครรภ์ครั้งแรกอยู่ที่ประมาณ 500–1,000 บาท แต่ถ้าคุณแม่ใช้สิทธิ์บัตรทองหรือสิทธิประกันสังคม จะสามารถฝากครรภ์ฟรีหรือต้องจ่ายเพียงเล็กน้อย

 

ฝากท้องโรงพยาบาลเอกชนครั้งแรกกี่บาท

โรงพยาบาลเอกชนมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าโรงพยาบาลรัฐ โดยทั่วไปอยู่ที่ 4,000–8,000 บาท และบางแห่งมีแพ็กเกจเหมาจ่ายที่รวมการฝากครรภ์จนถึงการคลอด ซึ่งอาจมีราคาตั้งแต่หลักหมื่นจนถึงหลายหมื่นบาท จุดเด่นของโรงพยาบาลเอกชนคือการบริการที่รวดเร็ว สะดวก และการตรวจที่หลากหลาย เช่น ตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม การอัลตราซาวด์ความละเอียดสูง

สรุปคือ ค่าใช้จ่ายในการฝากครรภ์ครั้งแรกกี่บาท ขึ้นกับคุณแม่เลือกสถานบริการแบบใด และมีสิทธิสวัสดิการอะไรบ้าง ที่สำคัญต้องไม่ลืมว่า การฝากครรภ์คือการดูแลคุณแม่และสุขภาพลูกน้อยในครรภ์ ดังนั้นควรพิจารณาถึงความเหมาะสมในการให้บริการที่ครอบคลุมสุขภาพโดยรวมเป็นสำคัญ ความสะดวกในการไปใช้บริการเนื่องจากต้องไปบ่อย ๆ และค่าใช้จ่ายที่รับได้ค่ะ

 

ค่าใช้จ่ายฝากครรภ์ครั้งแรก พร้อมรายละเอียด


เพื่อให้คุณแม่เข้าใจว่าการฝากครรภ์ครั้งแรกมีค่าใช้จ่ายที่จำเป็นอย่างมาก จึงขออธิบายให้เห็นภาพชัดขึ้นว่า ค่าใช้จ่ายฝากครรภ์ครั้งแรกนั้นถูกใช้ไปกับอะไรบ้าง ดังนี้

  • ค่าแพทย์และค่าบริการพยาบาล/โรงพยาบาล เป็นค่าธรรมเนียมพื้นฐานในการเข้ารับบริการ
  • การซักประวัติและตรวจร่างกาย คุณหมอจะสอบถามประวัติสุขภาพของคุณแม่และครอบครัวอย่างละเอียด รวมถึงการตรวจร่างกายทั่วไป เช่น ชั่งน้ำหนัก วัดความดันโลหิต ตรวจเต้านม และตรวจภายใน (ในบางกรณี)
  • การตรวจเลือด (Lab Tests) ถือเป็นหัวใจสำคัญของการฝากครรภ์ครั้งแรก เพื่อคัดกรองภาวะต่าง ๆ ที่อาจส่งผลต่อการตั้งครรภ์ได้ ประกอบด้วย
    • ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) เพื่อดูภาวะโลหิตจางหรือความผิดปกติของเลือด
    • ตรวจหมู่เลือด (Blood Group) และ Rh factor สำคัญอย่างยิ่งหากคุณแม่มีเลือดกรุ๊ป Rh- แต่ลูกมี Rh+
    • ตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น ซิฟิลิส (VDRL), เอชไอวี (Anti-HIV)
    • ตรวจหาภูมิคุ้มกันและเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBsAg, Anti-HBs) เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก
    • ตรวจหาภูมิคุ้มกันหัดเยอรมัน (Rubella IgG) หากไม่มีภูมิคุ้มกัน ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษระหว่างตั้งครรภ์
    • ตรวจคัดกรองธาลัสซีเมีย (Thalassemia Screening) โรคโลหิตจางทางพันธุกรรมที่พบบ่อยในคนไทย
  • การตรวจปัสสาวะ (Urinalysis) เพื่อตรวจหาโปรตีนและน้ำตาลในปัสสาวะ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของภาวะครรภ์เป็นพิษหรือเบาหวานขณะตั้งครรภ์
  • การตรวจอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) ในการฝากครรภ์ครั้งแรก การอัลตราซาวนด์มีวัตถุประสงค์เพื่อ
    • ยืนยันการตั้งครรภ์ว่าอยู่ในมดลูก ไม่เป็นการท้องนอกมดลูก
    • ประเมินอายุครรภ์ที่แน่นอน และกำหนดวันคลอด
    • ดูจำนวนทารกในครรภ์
    • ฟังเสียงการเต้นของหัวใจทารก
  • ค่ายาบำรุง คุณหมอจะสั่งจ่ายวิตามินที่จำเป็น เช่น กรดโฟลิก (Folic Acid) เพื่อป้องกันความผิดปกติของระบบประสาทของทารก และอาจมียาบำรุงเลือดอื่น ๆ ตามความจำเป็น


ค่าใช้จ่ายของการฝากครรภ์ครั้งแรกจึงมักประกอบไปด้วยค่าพบแพทย์ ค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการ ค่ายา และค่าบริการอื่น ๆ ซึ่งในโรงพยาบาลรัฐบางแห่งสิทธิ์บัตรทองหรือประกันสังคมครอบคลุมค่าใช้จ่ายเกือบทั้งหมดค่ะ

 

ไปฝากครรภ์ครั้งแรกต้องเตรียมอะไรบ้าง


การเตรียมตัวที่ดีจะช่วยให้การฝากครรภ์ครั้งแรกเป็นไปอย่างราบรื่นและได้ข้อมูลครบถ้วนที่สุด นี่คือเช็กลิสต์สำคัญการไปฝากครรภ์ครั้งแรก ต้องเตรียมอะไรบ้างมาดูกันค่ะ

เอกสารสำคัญ

  • บัตรประจำตัวประชาชนของคุณแม่และคุณพ่อ
  • ทะเบียนบ้าน
  • ทะเบียนสมรส (ถ้ามี)เอกสารเกี่ยวกับสิทธิ์การรักษาพยาบาล เช่น บัตรประกันสังคม บัตรทอง เอกสารเบิกจ่ายของข้าราชการ

ข้อมูลด้านสุขภาพ (สำคัญมาก)

  • วันแรกของการมีประจำเดือนครั้งสุดท้าย เพื่อใช้คำนวณอายุครรภ์เบื้องต้น
  • ประวัติการตั้งครรภ์และการคลอดที่ผ่านมา หากเคยตั้งครรภ์มาก่อน เช่น การแท้ง การคลอดก่อนกำหนด
  • โรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ ไทรอยด์ ลมชัก

ประวัติการแพ้ยาและแพ้อาหาร

  • ประวัติการผ่าตัด โดยเฉพาะการผ่าตัดในช่องท้องหรือมดลูก
  • ประวัติสุขภาพของคนในครอบครัว โรคทางพันธุกรรม เช่น ธาลัสซีเมีย ดาวน์ซินโดรม

รายชื่อคำถามที่อยากรู้

  • เป็นเรื่องปกติที่จะมีคำถามมากมาย อย่าลังเลที่จะจดทุกคำถามที่สงสัยไปถามคุณหมอ เช่น
  • เรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกาย เพศสัมพันธ์ระหว่างตั้งครรภ์ ความเสี่ยงต่าง ๆ

ทั้งนี้ หากเป็นไปได้ การไปฝากครรภ์ต้องให้สามีไปด้วย เพราะการมีคุณพ่อไปด้วยจะช่วยสร้างกำลังใจที่ดี และช่วยรับฟังข้อมูลสำคัญจากคุณหมอไปพร้อม ๆ กันด้วยค่ะ 

 

ขั้นตอนการฝากครรภ์ครั้งแรก


  1. ชั่งน้ำหนักและวัดส่วนสูง เพื่อให้ทราบว่าคุณแม่มีน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานหรือไม่ และส่วนสูงของคุณแม่สัมพันธ์กับขนาดของเชิงกรานหรือไม่ เพื่อประกอบการพิจารณาเรื่องการคลอดธรรมชาติ
  2. วัดความดันโลหิต เพื่อให้ทราบ ระดับความดันโลหิตของคุณแม่ เช่น สูงหรือต่ำเกินไปจะได้แนะนำแนวทางการดูแลอย่างถูกต้อง
  3. ตรวจเลือด โดยตรวจคัดกรองภาวะซีด โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย โรคไวรัสตับอักเสบบี โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง ตรวจการทำงานของตับและไต ตรวจคัดกรองเบาหวานขณะตั้งครรภ์ โดยหากมีความผิดปกติจะได้รักษาคุณแม่ได้ทันท่วงที และป้องกันโรคที่อาจส่งต่อไปยังลูกได้
  4. ตรวจปัสสาวะ ตรวจน้ำตาลและโปรตีนที่อาจรั่วออกมาทางปัสสาวะ หากมีโปรตีนมากเกินไปอาจจะมีความเสี่ยงภาวะครรภ์เป็นพิษ และตรวจดูว่ามีการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะหรือไม่
  5. ตรวจสุขภาพช่องปาก  ตรวจฟันผุ เหงือกอักเสบ หินปูน เพราะหากมีปัญหาสุขภาพช่องปากและฟันอาจส่งผลต่อสุขภาพครรภ์ได้
  6. ฟังเสียงหัวใจและปอด เพื่อตรวจการทำงานของหัวใจ ลิ้นหัวใจ และปอดขณะตั้งครรภ์ให้เป็นปกติ
  7. ตรวจเต้านม ตรวจทรงเต้า และลักษณะหัวนม ให้พร้อมสำหรับการผลิตนมและการให้นม
  8. ตรวจหน้าท้อง ขนาดมดลูก ระดับของมดลูกว่าสัมพันธ์กับอายุครรภ์หรือไม่ โดยหากผิดปกติ อาจหมายถึงภาวะผิดปกติ เช่น ครรภ์แฝด ก้อนเนื้องอกมดลูก เป็นต้น
  9. ตรวจขา เพื่อดูว่าเส้นเลือดขอดหรือไม่ ขาบวมผิดปกติหรือไม่

 

ฝากครรภ์กี่เดือนขึ้นไป


สำหรับคำถามที่คุณแม่หลายคนอาจสงสัยคือ ฝากครรภ์เมื่อไหร่ดี คำตอบที่เราแนะนำคือ เมื่อคุณแม่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์ควรไปฝากครรภ์ทันที อย่าปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปเป็นอันขาด ซึ่งการตรวจครรภ์ครั้งแรกควรเกิดขึ้นก่อนครรภ์จะมีอายุครบ 3 เดือน และหลังจากนั้นควรตรวจทุก ๆ 1-2 เดือนจนกว่าจะคลอดหรือตามที่แพทย์พิจารณา เพราะตลอดช่วงของการตั้งครรภ์ เป็นช่วงที่สำคัญ

ดังนั้น คุณแม่จะต้องไปฝากครรภ์ตามเกณฑ์ที่กำหนด แพทย์จะนัดตรวจเป็นระยะตามความเหมาะสมจนกระทั่งคลอด โดยองค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ว่า หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับการตรวจครรภ์อย่างน้อย 5 ครั้ง ตลอดระยะการตั้งครรภ์

 

ถ้าไม่ฝากครรภ์ หรือฝากครรภ์ช้า จะส่งผลอย่างไร


ฝากครรภ์ช้าสุดกี่เดือน เป็นคำถามที่น่าสนใจมาก คุณแม่หากไม่ฝากครรภ์ หรือฝากครรภ์หลังจากอายุครรภ์มากกว่า 4 เดือนขึ้นไป อาจจะส่งผลกระทบกับลูกน้อยในครรภ์นะคะ  เพราะในระหว่างนั้น หากเด็กมีอาการผิดปกติ มีพันธุกรรมที่ผิดปกติ จะทำให้แพทย์ไม่สามารถดูแลและแก้ไขได้ทัน ทางด้านคุณแม่ หากมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว หรือรับประทานยาบางอย่างอยู่ การตั้งครรภ์อาจส่งผลต่อคุณแม่หรือลูกน้อยได้โดยตรง 

หากคุณแม่ไม่ได้รับยาบำรุงที่จำเป็น เช่น ยาเสริมธาตุเหล็ก ยาเสริมแคลเซียม ซึ่งล้วนแต่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของลูก อาจนำไปสู่การเจ็บป่วยของคุณแม่ ที่อาจจะส่งผลทันที หรือส่งผลต่อเนื่องไปยังอนาคตได้ ด้วยเหตุนี้การฝากครรภ์จึงจำเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ หลังจากคุณแม่ฝากครรภ์จะได้รับสมุดฝากครรภ์ หรือสมุดบันทึกสุขภาพคุณแม่และทารกในครรภ์ ควรเก็บรักษาให้ดี อย่าทำหาย และนำไปทุกครั้งที่พบแพทย์

 

คุณแม่ตั้งครรภ์อย่าลืมใช้สิทธิ์ ลดค่าใช้จ่ายในการฝากครรภ์


รัฐบาลไทยมีสวัสดิการเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการฝากครรภ์และคลอดบุตร คุณแม่ควรตรวจสอบสิทธิ์ของตนเอง ดังนี้

  • สิทธิ์ประกันสังคม สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 และ 39 สามารถเบิกค่าคลอดบุตรแบบเหมาจ่ายได้ 15,000 บาท (ไม่จำกัดจำนวนครั้ง) และสามารถเบิกค่าฝากครรภ์ประกันสังคม ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในโรงพยาบาลที่เลือกไว้
  • สิทธิ์หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการฝากครรภ์และคลอดบุตรตามมาตรฐานในสถานพยาบาลของรัฐที่ลงทะเบียนไว้ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายหรือมีส่วนต่างเพียงเล็กน้อย
  • สิทธิ์สวัสดิการข้าราชการ สามารถเบิกค่าฝากครรภ์และคลอดบุตรได้ตามระเบียบของกรมบัญชีกลาง ทั้งในโรงพยาบาลรัฐและเอกชน

ดังนั้น คุณแม่จะเลือกฝากครรภ์ที่ไหนดี ก็ควรเช็กสิทธิที่มีให้รอบคอบก่อน เพื่อจะได้ลดภาระค่าใช้จ่าย และเลือกสถานบริการพยาบาลที่เหมาะสมได้ค่ะ 

 

 

อนาคตที่ดีที่สุดของลูกน้อย เริ่มต้นด้วยโภชนาการผ่านคุณแม่


สุขภาพและพัฒนาการของลูกน้อยเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงที่อยู่ในครรภ์ การที่คุณแม่ได้รับสารอาหารครบถ้วนและเหมาะสมจะช่วยเสริมสร้างสมอง ร่างกาย และภูมิคุ้มกันของลูกให้แข็งแรง การใส่ใจโภชนาการจึงเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตที่ดีที่สุดของลูก โดยในแต่ละวัน คุณแม่ควรเลือกอาหารที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งโปรตีน วิตามิน เกลือแร่ และกรดไขมันจำเป็น เช่น DHA โฟเลต และแคลเซียม ซึ่งล้วนมีบทบาทต่อการพัฒนาสมองและการเจริญเติบโตของทารก 

ซึ่งนอกจากการเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์เป็นประจำในทุกมื้อแล้ว คุณแม่ยังสามารถเสริมด้วยนมบำรุงครรภ์ และให้นมบุตร เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ อาจเลือกดื่มนมเอนฟามาม่า เอพลัส วันละ 2 แก้ว เพื่อให้ร่างกายได้รับแคลเซียมและโคลีนตามความต้องการของคุณแม่ตั้งครรภ์และให้นมบุตรในแต่ละวัน (THAI DRI)

โภชนาการที่ดีไม่เพียงช่วยให้ลูกน้อยมีพัฒนาการที่แข็งแรง แต่ยังช่วยปกป้องคุณแม่จากภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ เช่น โรคโลหิตจาง ความดันโลหิตสูง หรือเบาหวานขณะตั้งครรภ์ เมื่อแม่สุขภาพดี ลูกก็จะได้รับการดูแลที่สมบูรณ์ไปพร้อมกัน ดังนั้น ทุกคำที่แม่เลือกกินในวันนี้ คือการวางรากฐานสู่อนาคตที่ดีที่สุดของลูกน้อยอย่างแท้จริง

 

* นมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารก
Enfa Smart Club สนับสนุนให้คุณแม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่าง
เดียวอย่างน้อย 6 เดือนและให้นมแม่ควบคู่อาหารตามวัยอีก 2 ปี หรือนานกว่านั้น ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO)
Enfa Smart Club พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลคุณแม่และลูกน้อย ด้วยการมอบข้อมูลโภชนาการและพัฒนาการลูกน้อยแต่ละวัย ที่เป็นประโยชน์และเชื่อถือได้ ผ่านเว็บไซต์ enfababy.com

คุณกำลังเข้าถึงเนื้อหาจากผู้ให้บริการภายนอกเกี่ยวกับการซื้อหรือ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของบริษัท มี้ด จอห์นสัน นิวทริชัน (ประเทศไทย) จำกัด​

กรุณากดยืนยันเพื่อดำเนินการต่อ

Line TH
Cart TH Join Enfamama