Enfa สรุปให้
เลือกอ่านตามหัวข้อ
คุณพ่อคุณแม่อาจเคยได้ยินการเลี้ยงลูกเชิงบวก หรือ Positive Parenting ซึ่งเป็นวิธีการที่จะช่วยให้คุณแม่เลี้ยงลูกได้อย่างมีความสุขมากขึ้น เพราะการเลี้ยงลูก ไม่ใช่เพียงแค่การดูแลสุขภาพร่างกายลูกให้แข็งแรง เติบโตสมวัยเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและส่งเสริมพัฒนาการของลูกน้อยในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวัยที่เด็กกำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
การเลี้ยงลูกเชิงบวก หรือ Positive Parenting คือ ความสมดุลระหว่างการเสริมพฤติกรรมที่ดี และการปรับพฤติกรรมที่ไม่ดีของลูก เป็นแนวทางการเลี้ยงดูเด็กที่มุ่งเน้นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพ่อแม่และลูก ผ่านความรัก ความเข้าใจ ความปรารถนาดี คำพูดการกระทำที่ดี และการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ
วิธีนี้ไม่ใช่แค่การตั้งกฎเกณฑ์ แต่เชื่อว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพในการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง การเลี้ยงดูแบบนี้จะช่วยให้เด็กเติบโตขึ้นอย่างมีความมั่นใจ มีวินัยในตัวเอง และมีทักษะทางอารมณ์ที่ดี เรียนรู้การแสดงออกในแง่บวก ผ่านความรักและความเอาใจใส่จากพ่อแม่
การปรับพฤติกรรมในแบบการเลี้ยงลูกเชิงบวกจะไม่ใช่การบังคับหรือควบคุมพฤติกรรมลูกค่ะ แต่เป็นการทำความเข้าใจกับพฤติกรรมที่เกิดขึ้นตรงนั้น เพราะเมื่อพ่อแม่เข้าใจ พ่อแม่จะสามารถเข้าไปช่วยเหลือ ป้องกัน สอนทักษะในการจัดการปัญหาและอารมณ์ที่ลูกยังขาด ยังไม่เก่งพอให้ทำได้ดีขึ้นนั่นเอง
การเลี้ยงลูกเชิงบวกไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีกฎเกณฑ์หรือไม่ใช้การควบคุม แต่เน้นการทำให้เด็กเข้าใจว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นสามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้เหตุผลและการพูดคุย อธิบาย และชี้แนะให้เด็กเข้าใจเหตุและผลของการกระทำต่างๆ แทน และไม่ใช้วิธีการลงโทษที่รุนแรง เช่น การดุด่า หรือการตัดสิทธิ์ความสนุก
เพราะการเลี้ยงดูลูกให้มีคุณภาพนั้น มีความสำคัญต่อสุขภาพทั้งกายและใจ คุณภาพชีวิต พัฒนาการ การจัดการอารมณ์ การประสบความสำเร็จในการเรียนการทำงาน การมีทักษะทางสังคมและการมีสัมพันธภาพที่ดีซึ่งการเลี้ยงดูส่งผลตลอดช่วงชีวิตค่ะ
การเลี้ยงลูกเชิงบวกมีหลากหลายวิธี ซึ่งคุณแม่สามารถนำไปปรับใช้ได้ตามความเหมาะสมของแต่ละสถานการณ์ค่ะ สิ่งสำคัญคือ การทำให้ลูกได้รับการตอบสนองจากพ่อแม่อย่างเต็มที่ โดยที่ไม่รู้สึกถูกละเลยหรือไม่เข้าใจ คุณพ่อคุณแม่สามารถทำได้ ดังนี้
1. การสร้างความเข้าใจ เมื่อลูกทำผิดหรือไม่ทำตามคำสั่ง ควรใช้การพูดคุยอธิบายเหตุผลให้เขาฟัง โดยใช้ภาษาที่เหมาะสมกับวัยของเขา เช่น "ลูกทำแบบนี้อาจทำให้เพื่อนเจ็บนะ" แทนการตะคอกหรือลงโทษ
2.สร้างความรู้สึกปลอดภัยและไว้วางใจ โดยการกอด หอม และสัมผัสลูกอย่างอ่อนโยนเป็นประจำ ใส่ใจความรู้สึกของลูก รับฟังสิ่งที่ลูกพูด และแสดงความรักอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าลูกจะทำผิดหรือถูก
3.ให้เวลาคุณภาพกับลูก คือ ช่วงเวลาดี ๆ ที่คุณพ่อคุณแม่และลูกน้อยมีให้แก่กัน หาโอกาสในการทำกิจกรรมและพูดคุยกันอย่างสม่ำเสมอ
4. การสนับสนุนการแสดงออกทางอารมณ์ เด็กทุกคนมีอารมณ์หลากหลาย การให้เด็กมีพื้นที่ในการแสดงออกอารมณ์ของตัวเอง โดยไม่ถูกห้ามหรือถูกตำหนิ เป็นการช่วยให้เด็กสามารถเข้าใจและจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้
5.ใช้คำพูดในการสื่อสารเชิงบวกหรือการให้กำลังใจลูกอย่างสม่ำเสมอ เมื่อลูกมีพฤติกรรมที่น่ารัก น่าชื่นชม เช่น เล่นกับเด็กคนอื่นอย่างอ่อนโยน พูดคุยกับคนอื่นด้วยความสุภาพ ช่วยเหลืองานบ้านเล็กๆ น้อยๆ คุณพ่อคุณแม่ควรให้คำชมกับลูกด้วยความจริงใจ และควรควรหลีกเลี่ยงการใช้คำพูดที่ฟังแล้วรุนแรงหรือกระทบต่อจิตใจลูกเมื่อลูกทำผิด เพราะอาจทำให้ลูกฝังใจได้
6. การส่งเสริมการเรียนรู้ ใช้กิจกรรมต่างๆ เช่น การทำศิลปะ เพื่อช่วยให้เด็กเรียนรู้การคิดและการสร้างสรรค์ การทำกิจกรรมเหล่านี้ไม่เพียงแค่ช่วยพัฒนาทักษะต่างๆ ของเด็ก แต่ยังช่วยให้เด็กสามารถแสดงออกถึงความรู้สึกและความคิดของตัวเองได้
7. กำหนดขอบเขตที่ชัดเจน คุณพ่อคุณแม่สามารถตั้งกฎระเบียบที่เหมาะสมกับวัย และอธิบายเหตุผลของกฎแต่ละข้อให้เด็กๆ เข้าใจ และมีความคงเส้นคงวาในการบังคับใช้กฎ
8. ให้ทางเลือกแทนการสั่ง เพื่อให้ลูกได้ฝึกคิดและตัดสินใจด้วยตัวเองคุณพ่อคุณแม่ควรมีทางเลือกให้ลูกตัดสินใจ เช่น "หนูจะเล่นก่อนหรือทำการบ้านก่อนดีคะ?" "เสื้อสีแดงหรือสีฟ้าดีคะวันนี้?"
9.ให้ลูกได้ออกไปทำกิจกรรมกับเด็กคนอื่นๆ นอกบ้านบ้าง เพราะนอกจากครอบครัวแล้ว ลูกยังต้องเรียนรู้ในการปรับตัว และอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างเหมาะสมอีกด้วย
10.รู้จักขอบคุณ คุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นแสดงการขอบคุณให้ลูกเห็น โดยเฉพาะเมื่อรับของจากลูก หรือลูกทำสิ่งที่พ่อแม่ภูมิใจก็ควรหมั่นขอบคุณ เพราะลูกจะเห็นถึงคุณค่าในสิ่งต่างๆ จะทำให้ลูกเป็นเด็กที่รู้จักขอบคุณและเห็นคุณค่าในสิ่งที่มีด้วยเช่นกัน
11.ให้ความสำคัญที่ความพยายาม การให้ความสำคัญที่การพยายามมากกว่าผลลัพธ์ มีส่วนทำให้ลูกเป็นเด็กที่คิดบวกและมีความสุขได้ ในขณะที่การมุ่งเน้นแต่ที่ผลลัพธ์ จนไม่ใส่ใจในความพยายาม อาจเป็นการสร้างความกดดันให้ลูกได้อย่างมาก
12.สอนให้ลูกเข้าใจคนอื่น เนื่องจากเด็กๆ แต่ละคนมีความแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรม การสอนให้ลูกเข้าใจความแตกต่าง เป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรปลูกฝังให้ลูกตั้งแต่เด็ก เพราะจะทำให้ลูกรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรามากขึ้น
การพูดกับลูกเชิงบวกไม่ใช่แค่การใช้คำพูดดีๆ แต่เป็นการใช้จิตวิทยาในการคุยกับลูกอย่างสร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพ การเลือกใช้คำพูดที่เหมาะสมจะช่วยสร้างความมั่นใจและพัฒนาทักษะทางอารมณ์ของลูกได้ ลองปรับการพูดแบบนี้ดูนะคะ เช่น
แทนที่จะพูด: "ทำไมซนจัง นั่งไม่นิ่งเลย"
ลองพูดว่า: "แม่เห็นว่าหนูมีพลังงานเยอะมากวันนี้ เรามาวิ่งเล่นในสวนกันไหมคะ?"
แทนที่จะพูด: "ทำไมทำการบ้านช้าจัง"
ลองพูดว่า: "แม่เห็นว่าหนูพยายามทำการบ้านอยู่ อยากให้แม่ช่วยอธิบายตรงไหนไหมคะ?"
แทนที่จะพูด: "ไม่ให้เล่นนะ"
ลองพูดว่า: "เรามาเล่นเกมที่สนุกกันดีกว่า"
จัดการกับพฤติกรรมเชิงบวก เมื่อเด็กทำสิ่งที่ดี ควรให้คำชมเชยทันที เช่น "พี่ทำได้ดีมากที่ช่วยเก็บของเล่นให้กับน้อง" “แม่ดีใจที่ลูกมีความพยายามแบบนี้” “ลูกช่วยแม่ได้เยอะเลย ขอบคุณนะ” “ลูกเป็นคนเก่งและมีน้ำใจมากเลยนะ” “แม่ชอบวิธีที่ลูกคิดแบบนี้นะ” “แม่ภูมิใจในตัวลูกมากเลยนะ” การชมเชยจะทำให้เด็กรู้สึกดีและมีแรงบันดาลใจในการทำสิ่งดีๆ ต่อไป
การฟังที่ดี การฟังลูกพูดอย่างตั้งใจและไม่ขัดจังหวะ เป็นการแสดงให้เห็นว่าเรารับฟังและใส่ใจความรู้สึกของเขา การฟังอย่างเข้าใจจะทำให้เด็กรู้สึกถึงความรักและความเคารพจากพ่อแม่
การใช้วิธีการเลี้ยงลูกเชิงบวกช่วยสร้างพื้นฐานที่ดีในการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก สามารถเติบโตขึ้นมาอย่างมีความมั่นใจ มีทักษะในการสื่อสารและการแก้ปัญหาที่ดี รวมถึงมีสุขภาพจิตที่แข็งแรง มีทักษะทางด้านความคิดและอารมณ์ได้อย่างดี
การเลี้ยงดูเชิงบวกสามารถส่งเสริมพัฒนาการของลูกได้หลายด้าน โดยเฉพาะผ่านกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ดังนี้
1. วาดรูประบายสี
- ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก
- ฝึกสมาธิและความคิดสร้างสรรค์
- เปิดโอกาสให้แสดงออกทางอารมณ์
2. ปั้นดินน้ำมัน
- พัฒนาประสาทสัมผัส
- ฝึกการแก้ปัญหาและจินตนาการ
- สร้างความภาคภูมิใจในผลงาน
3. งานประดิษฐ์จากวัสดุเหลือใช้
- ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์
- สอนเรื่องการรักษ์สิ่งแวดล้อม
- ฝึกการวางแผนและการทำงานเป็นขั้นตอน
นอกจากการเลี้ยงดูลูกน้อยด้วยความรัก ความเอาใจใส่ และเลี้ยงลูกเชิงบวกที่ดีแล้ว การได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนก็สำคัญไม่แพ้กันค่ะ อยากให้ลูกมีพัฒนาการสมองดี ต้องเลือกเอนฟาโกรที่มี MFGM มีหลากหลายสูตรเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูก เพราะเด็กทุกคนต่างกัน
Enfa สรุปให้ ไม่ควรให้ทารกดูทีวีหรือสื่อหน้าจอทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นทีวี โทรศัพท์ หรือแท็บเล็ต เพร...
อ่านต่อEnfa สรุปให้ อาการไข้ขึ้นตอนกลางคืน กลางวันปกติ พบได้บ่อยในเด็ก เพราะเป็นภาวะที่ร่างกายตอบสนองต่...
อ่านต่อEnfa สรุปให้ เมื่อทารกคัดจมูก คุณแม่สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ยาทาระเหยบรรเทาอาการคัดจมูกสูตรสำหรับทารกโ...
อ่านต่อ