Enfa สรุปให้
โดยเฉลี่ยแล้ว เด็กจะเริ่มพูดคำแรกที่มีความหมายได้ตอนอายุประมาณ 1 ขวบ และจะเริ่มพูดเป็นวลีสั้น ๆ 2 คำได้ในช่วงอายุ 2 ขวบ
เด็กเริ่มพูดหรือเริ่มต้นมีพัฒนาการสื่อสารตั้งแต่อายุประมาณ 4-6 เดือน โดยเริ่มด้วยการเปล่งเสียงอ้อแอ้ และมักจะพูดคำที่มีความหมายคำแรกได้ในช่วง 10-14 เดือน
หากลูกพูดช้าหรือมีอายุประมาณ 1 ขวบครึ่งแล้วยังไม่พูดคำที่มีความหมายเลย หรืออายุ 2 ขวบแล้วยังไม่สามารถนำคำ 2 คำมาต่อกันเป็นวลีได้ ควรปรึกษาแพทย์
เลือกอ่านตามหัวข้อ
หนึ่งในช่วงเวลาที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่ตื่นเต้นและเฝ้ารอมากที่สุด คือ วันที่ลูกพูดคำแรกได้ ทำให้คุณพ่อคุณแม่ที่เฝ้ารอช่วงเวลาสำคัญนี้สงสัยว่า เด็กเริ่มพูดกี่เดือน เด็กจะเริ่มพูดกี่ขวบ นั่นเพราะว่าคำแรกที่ลูกเริ่มพูดไม่เพียงเป็นการแสดงทักษะการสื่อสารเท่านั้น แต่ยังท้อนถึงพัฒนาการด้านสมอง อารมณ์ และพัฒนาการด้านสังคม หรือความสัมพันธ์กับคนรอบตัวอีกด้วย เช่น การเรียก แม่ หรือ พ่อ เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นความทรงจำที่น่าประทับใจอย่างมาก
ในบทความนี้ Enfa จะพาคุณพ่อคุณแม่ทุกคนไปทำความเข้าใจช่วงเวลาสำคัญของพัฒนาการสื่อสารของลูกน้อย พร้อมคำแนะนำในการส่งเสริมทักษะการสื่อสารให้ลูกอย่างถูกวิธีค่ะ
โดยทั่วไปแล้ว เด็กส่วนใหญ่จะเริ่มพูดคำแรกที่มีความหมายได้เมื่ออายุประมาณ 12 เดือน หรือ 1 ขวบ โดยคำที่มีความหมายในที่นี้คือไม่ใช่การเปล่งเสียงออกมาลอย ๆ แต่เป็นคำที่มีความหมายและแสดงให้เห็นว่าลูกน้อยตั้งใจใช้คำนี้เพื่อสื่อถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น คำว่า หม่าม้า เมื่อมองคุณแม่ หรือคำว่า หม่ำ เมื่อรู้สึกหิว เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การที่เด็กเริ่มพูดกี่ขวบนั้นยังเป็นเพียงค่าเฉลี่ยและเด็กแต่ละคนมีจังหวะการเติบโตที่แตกต่างกัน เด็กบางคนอาจพูดคำแรกได้ตั้งแต่อายุ 9-10 เดือน ในขณะที่บางคนอาจรอจนถึง 14-15 เดือน ซึ่งยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยนอกจากการพูดคำแรกของลูกแล้ว สิ่งสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความสนใจคือพัฒนาการโดยรวมในด้านการสื่อสารของลูก ทั้งการใช้ท่าทาง การสบตา และความพยายามที่จะโต้ตอบกับเราค่ะ
ปกติแล้วเด็กจะเริ่มพูดคำแรกที่มีความหมายในช่วงอายุประมาณ 18–24 เดือน โดยก่อนหน้านั้นเด็กจะเริ่มจากการเปล่งเสียงหรือใช้เสียงในการสื่อสารก่อน ซึ่งเด็กเริ่มพูดกี่เดือน แต่ละเดือนมีพัฒนาการอะไรบ้าง คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตว่าทารกพูดได้ตอนกี่เดือนจากพัฒนาการ 0-24 เดือน ดังนี้
วัยนี้ลูกรักยังเป็นผู้ฟังตัวน้อย ใช้การร้องไห้เป็นการสื่อสารหลัก เด็กจะใช้เสียงร้องที่แตกต่างกันเพื่อบอกความต้องการ เช่น หิว ไม่สบายตัว หรือง่วงนอน และจะเริ่มมีพัฒนาการในการจดจำเสียงพ่อแม่ได้ หันหาที่มาของเสียง และเริ่มส่งเสียงในลำคอเบา ๆ ที่เรียกว่าคูอิ้ง (Cooing) ซึ่งเป็นเสียงสระ เช่น อา อู
ในวัย 4-6 เดือนนี้ ลูกน้อยจะเริ่มเป็นนักทดลองเสียง เริ่มเล่นกับเสียงของตัวเองมากขึ้น มีการเปลี่ยนระดับเสียงสูง-ต่ำ และเริ่มเข้าสู่ช่วงการเล่นเสียงพยัญชนะหรือที่เรียกว่าบาบเบิ้ล (Babbling) เช่น บาบา มามา ดาคา ในช่วงแรก ซึ่งเสียงเหล่านี้ยังไม่มีความหมาย แต่เป็นการฝึกอวัยวะในการออกเสียงนั่นเอง นอกจากนี้ยังเริ่มมีพัฒนาการที่ตอบสนองต่อการเรียกชื่อ และเริ่มเข้าใจน้ำเสียงที่แตกต่างกัน เช่น เสียงดุ หรือเสียงอ่อนโยน
วัยแห่งการเป็นนักเลียนเสียงและเตรียมพร้อมสื่อสาร การพูดของลูกจะเริ่มซับซ้อนมากขึ้น มีการผสมเสียงพยัญชนะและสระที่หลากหลาย และมีโทนเสียงคล้ายการพูดคุยจริงจังมากขึ้น เด็กจะเริ่มเลียนแบบเสียงและคำพูดง่าย ๆ ที่ได้ยินบ่อย ๆ และนี่คือช่วงที่ "คำแรก" มักจะปรากฏขึ้นค่ะ นอกจากนี้ยังเริ่มมีพัฒนาการเข้าใจคำสั่งง่าย ๆ ที่มีท่าทางประกอบ เช่น บ๊ายบาย ตบมือ เริ่มใช้ท่าทางในการสื่อสาร เช่น การชี้ไปยังสิ่งที่ต้องการ
วัยแห่งการสะสมคำศัพท์ เด็กวัย 13-18 เดือนจะสามารถพูดคำที่มีความหมายได้ 3-20 คำ โดยมักจะเป็นคำนามที่คุ้นเคย เช่น พ่อ แม่ นม บอล และจะพยายามเลียนแบบคำศัพท์ใหม่ ๆ ที่ได้ยิน รวมถึงมีพัฒนาการในการเข้าใจคำถามง่าย ๆ เช่น บอลอยู่ไหน และสามารถทำตามคำสั่งหนึ่งขั้นตอนได้โดยไม่มีท่าทางประกอบได้ เช่น หยิบแก้วน้ำให้แม่หน่อย
นักสร้างประโยคปรากฏตัวขึ้นแล้วค่ะ วัยนี้จะมีทักษะการสื่อสารแบบก้าวกระโดด เด็กจะเริ่มนำคำ 2 คำมาต่อกันเป็นวลี เช่น กินนม แม่ไป คลังคำศัพท์ของลูกน้อยจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็น 50-100 คำ เริ่มเรียกชื่อตัวเอง และพูดคุยโต้ตอบได้มากขึ้น รวมถึงสามารถชี้อวัยวะในร่างกายตามคำบอกได้ และเข้าใจคำสั่งที่ซับซ้อนขึ้นด้วย
ก่อนที่ลูกน้อยจะพูดเป็นคำได้ เขามักจะส่งสัญญาณบางอย่างออกมาก่อน ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่ากลไกการสื่อสารของเขากำลังพัฒนาไปในทิศทางที่ถูกต้อง โดยสัญญาณที่บอกว่าลูกจะพูดได้แล้วนะ มีดังนี้
เนื่องจากเด็กแต่ละคนอาจมีจังหวะในการเติบโตไม่เหมือนกัน และการที่เด็กเริ่มพูดกี่ขวบก็เป็นเพียงการประมาณระยะเวลาเช่นเดียวกับข้อสงสัยที่ว่าเด็กพูดช้าสุดกี่ขวบ แต่คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตการตอบสนองการสื่อสาร หรือความพยายามในการจะสื่อสารของลูกน้อย เพื่อประเมินเบื้องต้นว่าลูกมีพัฒนาการการสื่อสารสมกับช่วงวัยหรือไม่ โดยสังเกตได้จากพัฒนาการดังนี้
สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่า การพูดช้าเป็นเพียงอาการหนึ่ง ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย เช่น ปัญหาการได้ยิน ภาวะผิดปกติของอวัยวะในช่องปาก หรืออาจเป็นสัญญาณของภาวะทางพัฒนาการอื่น ๆ
ดังนั้น หากคุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นว่าลูกพูดช้า หรือรู้สึกกังวลใจ ไม่ควรลังเลที่จะพาลูกไปปรึกษากุมารแพทย์หรือนักกิจกรรมบำบัด เพื่อรับการประเมินและคำแนะนำที่ถูกต้อง การตรวจพบและให้ความช่วยเหลือตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพัฒนาการของลูกค่ะ
สำหรับวิธีกระตุ้นให้ลูกพูดนั้น คุณแม่คุณแม่สามารถช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านการสื่อสารของลูกน้อยได้ด้วยการมีปฏิสัมพันธ์กับลูกอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่สุดในการส่งเสริมทักษะทางภาษาที่สามารถทำได้ทุกวัน ดังนี้
นอกจากการดูแลสุขอนามัย สุขภาพโดยรวม และเฝ้าสังเกตพัฒนาการของของลูกน้อยว่าเหมาะสมตามวัยแล้ว การดูแลด้านโภชนาการตั้งแต่ลูกยังเล็ก โดยเฉพาะในช่วง 5 ปีแรกของชีวิตนั้น ถือว่าเป็นการปูพื้นฐานที่สำคัญให้กับชีวิตของลูก จะช่วยพัฒนาทักษะ EF ให้ลูกพร้อมเติบโตมาเป็นเด็กที่ทั้งฉลาดทางความคิดและฉลาดทางอารมณ์อีกด้วย
โดยโภชนาการที่สำคัญที่ลูกน้อยควรได้รับก็คือนมแม่ เพราะในนมแม่มี MFGM สุดยอดสารอาหารในนมแม่ ประกอบด้วยไขมันและโปรตีนกว่า 150 ชนิด รวมทั้งสฟิงโกไมอีลิน ฟอสโฟลิปิด แกงกลิโอไซด์ มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างพัฒนาการสมองของลูกน้อย และยังเป็นสารอาหารชนิดเดียวที่ช่วยให้ลูกมี IQ ที่เหนือกว่าตั้งแต่ 5 ปีแรก
Enfa สรุปให้ โดยเฉลี่ยแล้ว เด็กจะเริ่มพูดคำแรกที่มีความหมายได้ตอนอายุประมาณ 1 ขวบ และจะเริ่มพูด...
อ่านต่อEnfa สรุปให้ เดินเตาะแตะ คือ ลักษณะการเดิน ของเด็กเล็กที่ยังไม่มั่นคง เป็นก้าวแรก ๆ ที่ขาทั้งสอ...
อ่านต่อEnfa สรุปให้ เด็ก 2 ขวบ เป็นวัยที่พัฒนาการสมบูรณ์รอบด้าน เด็กวัยนี้จึงพร้อมสำหรับการเรียนรู้สิ่ง...
อ่านต่อ