
Enfa สรุปให้
อาการตกเลือดหลังคลอด คือ ภาวะที่เลือดออกมากผิดปกติหลังคลอด มักมีอาการเลือดไหลไม่หยุด มีลิ่มเลือดก้อนใหญ่ หน้ามืด อ่อนแรง ซีด หรือช็อกได้
อาการตกเลือด คือ การเสียเลือดมากกว่าปกติจากร่างกาย ไม่ว่าจะเกิดจากบาดแผลการคลอด หรือภาวะเลือดแข็งตัวผิดปกติ มักมีสัญญาณ เช่น เลือดออกไม่หยุด ซีด ชีพจรเร็ว ความดันต่ำ
อาการตกเลือดหลังคลอด เกิดจาก 4 สาเหตุหลัก (4 T’s) คือ มดลูกหดตัวไม่ดี (Tone), เศษรกค้าง (Tissue), บาดเจ็บหรือฉีกขาด (Trauma) และเลือดแข็งตัวผิดปกติ (Thrombin)

เลือกอ่านตามหัวข้อ
หลังจากคลอดลูก คุณแม่หลายคนอาจคิดว่าช่วงเวลายากที่สุดผ่านไปแล้ว แต่ในความเป็นจริงมีอาการตกเลือดหลังคลอดที่อาจเกิดขึ้นได้ในช่วงหลังคลอด และเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตของมารดาทั่วโลก หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที โดยภาวะนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวและสามารถป้องกันและรักษาได้ค่ะ หากคุณแม่เข้าใจสัญญาณเตือนและวิธีดูแลตนเองอย่างถูกต้อง
ในบทความนี้ Enfa จะพาคุณแม่ทุกท่านมาทำความรู้จักและเข้าใจกับอาการตกเลือดหลังคลอด ทั้งคลอดธรรมชาติและผ่าคลอด รวมถึงวิธีป้องกันและดูแลตนเองกันค่ะ
อาการตกเลือดหลังคลอดเป็นยังไงกันนะ อาการตกเลือดหลังคลอด หมายถึง ภาวะที่มีเลือดออกมากผิดปกติหลังการคลอดลูก ไม่ว่าจะคลอดทางช่องคลอดหรือผ่าตัด โดยทั่วไปผู้หญิงหลังคลอดจะเสียเลือดประมาณ 500 มิลลิลิตร แต่ถ้าเกินจากนี้ถือว่าเข้าสู่ภาวะตกเลือด
ลักษณะอาการที่ควรสังเกต ได้แก่
ปกติแล้ว หลังคลอดจะมีน้ำคาวปลา ซึ่งจะค่อย ๆ ลดลงตามเวลา หากมีเลือดแดงสดออกมากหรือผิดกลิ่น หรือมีอาการข้างต้น ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะภาวะนี้อาจนำไปสู่ภาวะช็อกจากการเสียเลือดได้
คุณแม่ที่คลอดด้วยการผ่าตัดจะมีความเสี่ยงต่ออาการตกเลือดหลังผ่าคลอดมากกว่าการคลอดธรรมชาติ เนื่องจากมีแผลผ่าตัดในมดลูกและเนื้อเยื่อรอบ ๆ โดยทั่วไปอาการตกเลือดหลังผ่าคลอดอาจแสดงออก ดังนี้
เลือดออกจากช่องคลอดมากกว่าปกติหลังผ่าคลอด
มีเลือดซึมหรือไหลจากแผลผ่าตัด
มีลิ่มเลือดขนาดใหญ่ หรือเลือดสดออกซ้ำหลังหยุดแล้ว
รู้สึกอ่อนเพลีย มึนงง หรือหมดแรง
มีไข้หรือกลิ่นผิดปกติจากเลือด
นอกจากนี้ คุณแม่จะมีน้ำคาวปลาผ่าคลอดที่ลักษณะคล้ายกับน้ำคาวปลาหลังคลอดธรรมชาติด้วย เพียงแต่ต้องสังเกตปริมาณและกลิ่นให้ดี หากผิดปกติควรรีบแจ้งแพทย์ค่ะ
ภาวะตกเลือดหลังคลอด (Postpartum Hemorrhage: PPH) คือ ภาวะสูติกรรมฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาโดยเร็วที่สุด แบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลักคือ
เกิดขึ้นภายใน 24 ชั่วโมงแรก หลังคลอด ถือเป็นระยะวิกฤตที่พบได้บ่อยที่สุด โดยไม่ว่าจะเป็นการคลอดธรรมชาติ หรือการผ่าคลอด ก็มีโอกาสเกิดภาวะนี้ได้
เกิดขึ้นหลัง 24 ชั่วโมงหลังคลอดไปแล้ว จนถึง 12 สัปดาห์ หลังคลอด (ประมาณ 3 เดือน) ซึ่งพบได้น้อยกว่าแต่ยังต้องระมัดระวัง
สาเหตุหลักของ อาการตกเลือดหลังคลอด เกิดจากอะไร นั้น สามารถจดจำได้ง่าย ๆ ด้วยหลัก 4 T's คือ
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น เช่น การตั้งครรภ์แฝด รกเกาะต่ำมดลูกขยายมาก หรือเคยมีประวัติตกเลือดมาก่อน
อาการตกเลือดหลังแท้งมีลักษณะใกล้เคียงกับตกเลือดหลังคลอด โดยเกิดจากมดลูกหดตัวไม่ดี หรือมีเศษเนื้อเยื่อค้างอยู่ มีสัญญาณเตือนคือเลือดออกมาก มีลิ่มเลือดก้อนใหญ่ หน้ามืด อ่อนแรง หรือมีไข้ ในกรณีนี้ควรรีบไปโรงพยาบาลเพื่อขูดมดลูกและรักษาภาวะติดเชื้อ เพราะถ้าปล่อยไว้อาจเกิดอันตรายได้เช่นกัน ภาวะแท้งที่ไม่สมบูรณ์ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของตกเลือดหลังคลอดที่ต้องระวังค่ะ
โดยทั่วไปเลือดหลังคลอดจะค่อย ๆ ลดลงและหายไปภายใน 4-6 สัปดาห์ หากมีอาการตกเลือดหลังคลอด 1 เดือนโดยมีเลือดออกมากหรือกลับมาไหลอีกครั้ง อาจเป็นสัญญาณของภาวะตกเลือดล่าช้า คุณแม่ควรระวังหากมีอาการต่อไปนี้ค่ะ
นอกจากนี้ อาการข้างต้นอาจบอกถึงภาวะหรือมดลูกไม่เข้าอู่ ซึ่งคุณแม่หลายคนอาจสงสัยว่าหลังคลอดแล้ว มดลูกเข้าอู่กี่วัน โดยปกติแล้วการที่มดลูกเข้าอู่หรือกลับมามีขนาดเดิมจะใช้เวลาประมาณ 6 สัปดาห์หลังคลอด แต่หากมดลูกยังไม่กลับสู่ขนาดเดิม อาจบ่งบอกถึงภาวะเลือดออกหรือมดลูกติดเชื้อได้ค่ะ
การรักษาอาการตกเลือดหลังคลอดขึ้นอยู่กับสาเหตุ และต้องได้รับการดูแลโดยทีมแพทย์อย่างใกล้ชิด ขั้นตอนหลัก ๆ มีดังนี้
หลังจากอาการดีขึ้น คุณแม่ควรพักฟื้นให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง และติดตามอาการกับแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
ถึงแม้ภาวะตกเลือดหลังคลอดจะสามารถเกิดขึ้นได้แม้ไม่มีปัจจัยเสี่ยง แต่ก็มีวิธีป้องกันการตกเลือดหลังคลอดที่สำคัญซึ่งช่วยลดความเสี่ยงลงได้อย่างมาก ดังนี้
การรู้เท่าทันอาการตกเลือดหลังคลอด นอกจากเป็นวิธีสำคัญที่จะช่วยให้คุณแม่ปลอดภัย และยังช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็วมากขึ้นด้วยค่ะ
นอกจากการดูแลสุขอนามัย สุขภาพโดยรวม และเฝ้าสังเกตพัฒนาการของของลูกน้อยว่าเหมาะสมตามวัยแล้วหรือไม่แล้ว การดูแลด้านโภชนาการตั้งแต่ลูกยังเล็ก โดยเฉพาะในช่วง 5 ปีแรกของชีวิตนั้น ถือว่าเป็นการปูพื้นฐานที่สำคัญให้กับชีวิตของลูก จะช่วยให้ลูกพร้อมเติบโตมาเป็นเด็กที่ทั้งฉลาดทางความคิดและฉลาดทางอารมณ์
โดยโภชนาการที่สำคัญที่ลูกน้อยควรได้รับก็คือนมแม่ เพราะในนมแม่ที่มี MFGM สุดยอดสารอาหารในนมแม่ ประกอบด้วยไขมันและโปรตีนกว่า 150 ชนิด รวมทั้งสฟิงโกไมอีลิน ฟอสโฟลิปิค แกงกลิโอไซด์ มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างพัฒนาการสมองของลูกน้อย และยัง เป็นสารอาหารชนิดเดียวที่ช่วยให้ลูกมีทักษะ EF ที่เหนือกว่าตั้งแต่ 5 ปีแรก ให้ลูกพร้อมกว่าเมื่อถึงวัยเข้าเรียน
Enfa สรุปให้ อาการตกเลือดหลังคลอด คือ ภาวะที่เลือดออกมากผิดปกติหลังคลอด มักมีอาการเลือดไหลไม่หย...
อ่านต่อ
Enfa สรุปให้ มดลูกไม่เข้าอู่มีอาการอย่างไร มดลูกไม่เข้าอู่คือภาวะที่มดลูกหลังคลอดไม่หดตัวกลับสู...
อ่านต่อ
Enfa สรุปให้ มดลูกเข้าอู่ คือกระบวนการที่มดลูก หดตัวกลับสู่ขนาดปกติเดิมก่อนตั้งครรภ์ ผ่านการบีบ...
อ่านต่อ