
Enfa สรุปให้
โปรแกรมคำนวณน้ำหนักคนท้อง เป็นเครื่องมือที่ช่วยตรวจสอบว่าน้ำหนักของแม่อยู่ในเกณฑ์เหมาะสมตามอายุครรภ์และ BMI ก่อนตั้งครรภ์ ใช้งานง่าย แต่ควรใช้ร่วมกับคำแนะนำจากแพทย์
น้ำหนักหญิงตั้งครรภ์แต่ละไตรมาสจะเพิ่มขึ้นไม่เท่ากันในแต่ละช่วง โดยไตรมาสแรกจะเพิ่มขึ้นน้อยที่สุด จากนั้นจะเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอในไตรมาสที่ 2 และ 3 สำหรับคุณแม่ที่มีน้ำหนักตามเกณฑ์ปกติ
สำหรับคุณแม่ที่มีน้ำหนักตัวตามเกณฑ์ปกติก่อนตั้งครรภ์ เมื่อท้อง 5
เดือนน้ำหนักควรขึ้นจากเดิมรวมประมาณ 4-6 กิโลกรัม

เลือกอ่านตามหัวข้อ
การตั้งครรภ์คือการเดินทางของชีวิตที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย อารมณ์ หรือวิถีชีวิต หนึ่งในประเด็นที่คุณแม่มักกังวล คือ น้ำหนักที่ควรขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ เพราะน้ำหนักที่มากเกินไปหรือน้อยเกินไปต่างก็มีความเสี่ยง ไม่ว่าจะต่อสุขภาพของคุณแม่หรือพัฒนาการของลูกน้อย
การติดตามน้ำหนักหญิงตั้งครรภ์แต่ละไตรมาสและการใช้ตารางน้ำหนักคนท้องจะช่วยให้คุณแม่รู้ว่าตนเองอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมหรือไม่
โดยสามารถใช้โปรแกรมคำนวณน้ำหนักคนท้องเพื่อประเมินได้ด้วยตนเองอย่างสะดวก ซึ่งบทความนี้ Enfa
จะสรุปแนวทางเรื่องน้ำหนักคนท้องที่เข้าใจง่าย เหมาะสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ค่ะ
การเพิ่มน้ำหนักในช่วงตั้งครรภ์ไม่ใช่เพียงขึ้นเท่าไหร่ก็ได้ แต่มีเกณฑ์ที่อ้างอิงจากดัชนีมวลกายก่อนตั้งครรภ์ (Pre-pregnancy BMI) ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อเป้าหมายการเพิ่มน้ำหนักในแต่ละไตรมาสอีกด้วย โดยน้ำหนักหญิงตั้งครรภ์แต่ละไตรมาส มีดังนี้
เกณฑ์การเพิ่มขึ้นของน้ำหนักที่เหมาะสมสำหรับหญิงตั้งครรภ์แต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน โดยจะอ้างอิงจากดัชนีมวลกาย (Body Mass Index: BMI) ของคุณแม่ก่อนการตั้งครรภ์เป็นหลัก ซึ่งสามารถคำนวณได้จากสูตร
BMI= ส่วนสูง (เมตร)2 / น้ำหนัก (กิโลกรัม)
เมื่อได้ค่า BMI แล้ว
สามารถนำมาเปรียบเทียบกับตารางแนะนำน้ำหนักที่ควรเพิ่มขึ้นตลอดการตั้งครรภ์
ตามคำแนะนำของสถาบันการแพทย์แห่งชาติสหรัฐอเมริกา (Institute of Medicine - IOM) ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
ดังนี้ค่ะ
|
ดัชนีมวลกายก่อนตั้งครรภ์ (BMI) |
น้ำหนักควรเพิ่มขึ้น (กิโลกรัม) |
|---|---|
|
BMI < 18.5 (น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์) |
12.5 – 18.0 |
|
BMI 18.5 – 24.9 (น้ำหนักตัวปกติ) |
11.5 – 16.0 |
|
BMI 25.0 – 29.9 (น้ำหนักตัวเกิน) |
7.0 – 11.5 |
|
BMI ≥ 30 (โรคอ้วน) |
5.0 – 9.0 |
นอกจากตารางน้ำหนักคนท้องแล้ว ปัจจุบันมีโปรแกรมคำนวณน้ำหนักคนท้องออนไลน์และในแอปมือถือ เช่น เครื่องมือจากโรงพยาบาลและหน่วยงานสาธารณสุข ซึ่งใช้ข้อมูล BMI ก่อนตั้งครรภ์และอายุครรภ์ในการคำนวณ ตัวอย่างเช่น
Calculator.net –
Pregnancy Weight Gain Calculator
Omni Calculator – Pregnancy Weight Gain
กรมอนามัย - คำนวณค่าดัชนีมวลกาย
(BMI)
ข้อดีของโปรแกรมคํานวณ BMI คนท้อง คือ ช่วยให้คุณแม่เห็นการเพิ่มน้ำหนักที่ควรเป็นแบบรายสัปดาห์ ลดความกังวล
และรู้ว่าควรปรับอาหารหรือการใช้ชีวิตอย่างไร นอกจากนี้ยังใช้งานง่าย เพียงกรอกข้อมูลก็ได้ผลทันที แต่อย่างไรก็ตาม
เครื่องมือนี้ใช้เพื่อติดตามเบื้องต้นเท่านั้น ควรใช้ควบคู่กับคำแนะนำจากแพทย์ด้วยค่ะ
การที่คนท้องน้ำหนักขึ้นเยอะมากกว่าเกณฑ์ที่แนะนำ อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงภาวะบางอย่างได้ ไม่ใช่แค่เรื่องการรับประทานอาหารมากเกินไปเพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจรวมถึงถาวะที่ควรระวังดังนี้
การที่น้ำหนักขึ้นเร็วและมากเกินไป อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ทั้งต่อคุณแม่และทารก ได้แก่
การที่คนท้องน้ำหนักขึ้นน้อยกว่าเกณฑ์ที่ควรจะเป็นก็เป็นเรื่องที่น่ากังวลเช่นกัน เพราะอาจเป็นสัญญาณว่าทารกในครรภ์อาจไม่ได้รับการเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ ซึ่งอาจส่งผลให้ทารกมีน้ำหนักแรกเกิดน้อยกว่าเกณฑ์ เพิ่มความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด และอาจส่งผลต่อพัฒนาการของทารกในระยะยาว
หากคุณแม่พบว่าน้ำหนักของตนเองขึ้นน้อยเกินไป ควรปรึกษาคุณหมอทันที
เพื่อหาสาเหตุและรับคำแนะนำด้านโภชนาการที่เหมาะสมต่อไป
การดูแลน้ำหนักและโภชนาการที่เหมาะสมสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์คือการใส่ใจกับคุณภาพของอาหาร ไม่ใช่ปริมาณเพียงอย่างเดียว คุณแม่ไม่จำเป็นต้องรับประทานเผื่อลูกถึงสองเท่า แต่ควรเลือกอาหารคนท้องที่มีประโยชน์และหลากหลาย ดังนี้ค่ะ
สุขภาพและพัฒนาการของลูกน้อยเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงที่อยู่ในครรภ์ การที่คุณแม่ได้รับสารอาหารครบถ้วนและเหมาะสมจะช่วยเสริมสร้างสมอง ร่างกาย และภูมิคุ้มกันของลูกให้แข็งแรง การใส่ใจโภชนาการจึงเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตที่ดีที่สุดของลูก โดยในแต่ละวัน คุณแม่ควรเลือกอาหารที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งโปรตีน วิตามิน เกลือแร่ และกรดไขมันจำเป็น เช่น DHA โฟเลต แคลเซียม และโคลีน ซึ่งล้วนมีบทบาทต่อการพัฒนาสมองและการเจริญเติบโตของทารก
ซึ่งนอกจากการเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์เป็นประจำในทุกมื้อแล้ว คุณแม่ยังสามารถเสริมด้วยนมบำรุงครรภ์และให้นมบุตร เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ อาจเลือกดื่มนมเอนฟามาม่า เอพลัส วันละ 2 แก้ว เพื่อให้ร่างกายได้รับแคลเซียมและโคลีนตามความต้องการของคุณแม่ตั้งครรภ์และให้นมบุตรในแต่ละวัน (THAI DRI)
โภชนาการที่ดีไม่เพียงช่วยให้ลูกน้อยมีพัฒนาการที่แข็งแรง แต่ยังช่วยปกป้องคุณแม่จากภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ เช่น โรคโลหิตจาง ความดันโลหิตสูง หรือเบาหวานขณะตั้งครรภ์ เมื่อแม่สุขภาพดี ลูกก็จะได้รับการดูแลที่สมบูรณ์ไปพร้อมกัน ดังนั้น ทุกคำที่แม่เลือกกินในวันนี้ คือการวางรากฐานสู่อนาคตที่ดีที่สุดของลูกน้อยอย่างแท้จริง
ช่วงท้อง 4 เดือน ถือว่าอยู่ต้นไตรมาสที่ 2 คุณแม่ควรมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นประมาณ 1–3 กิโลกรัม หากน้ำหนักน้อยเกินไปอาจบ่งบอกว่ารับประทานอาหารไม่เพียงพอ หรือยังมีอาการแพ้ท้องอยู่ ส่วนถ้าน้ำหนักเพิ่มมากเกิน อาจเสี่ยงต่อการขึ้นน้ำหนักเร็วในครรภ์หลัง ๆ ซึ่งควรปรึกษาแพทย์และปรับโภชนาการให้เหมาะสมค่ะ
ท้อง 5 เดือน หรือช่วงครึ่งทางของการตั้งครรภ์ คุณแม่ควรมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นประมาณ 3–5 กิโลกรัม โดยขึ้นอยู่กับค่า BMI ก่อนตั้งครรภ์ หากน้ำหนักก่อนตั้งครรภ์ต่ำอาจขึ้นได้มากกว่านี้เล็กน้อย ในทางกลับกัน หากเริ่มต้นด้วยน้ำหนักเกินหรืออ้วน อาจต้องควบคุมให้น้ำหนักขึ้นช้ากว่า เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนทั้งแม่และลูกค่ะ
เมื่อเข้าสู่ท้อง 6 เดือน น้ำหนักควรขึ้นรวมแล้วประมาณ 5–7 กิโลกรัม โดยทั่วไปคุณแม่จะเริ่มรู้สึกว่าท้องโตขึ้นอย่างชัดเจน และน้ำหนักเพิ่มต่อเนื่องทุกสัปดาห์ ช่วงนี้ทารกกำลังสร้างระบบประสาทและอวัยวะที่ซับซ้อน จึงต้องได้รับสารอาหารครบถ้วน หากน้ำหนักเพิ่มน้อยกว่าที่แนะนำ ควรตรวจสอบพฤติกรรมการกินและติดตามกับแพทย์อย่างใกล้ชิดค่ะ
ท้อง 7 เดือน คุณแม่ควรมีน้ำหนักเพิ่มรวมประมาณ 7–10 กิโลกรัม ซึ่งถือว่าเข้าสู่ไตรมาสที่ 3 แล้ว เป็นช่วงที่ทารกเจริญเติบโตเร็ว ต้องการสารอาหารมากขึ้น หากน้ำหนักขึ้นเร็วเกินไปอาจเสี่ยงเบาหวานขณะตั้งครรภ์หรือความดันสูง ในทางตรงกันข้าม หากน้ำหนักขึ้นน้อยเกินไปอาจทำให้ทารกมีน้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์ค่ะ
เมื่อท้อง 8 เดือน น้ำหนักควรเพิ่มรวมประมาณ 9–12 กิโลกรัม หาก BMI ก่อนตั้งครรภ์ปกติ โดยในช่วงนี้ทารกมีการสะสมไขมันมากขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการคลอด คุณแม่อาจมีอาการบวมและเหนื่อยง่าย ควรดูแลอาหารให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงการทานหวานหรือเค็มจัด เพื่อป้องกันการขึ้นน้ำหนักเกินและลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนค่ะ
โดยทั่วไปไม่ปกติที่น้ำหนักจะลดในไตรมาส 2 เพราะเป็นช่วงที่อาการแพ้ท้องส่วนใหญ่มักทุเลา และควรเริ่มมีน้ำหนักขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากน้ำหนักลด อาจเกิดจากการรับประทานอาหารไม่เพียงพอ ปัญหาการดูดซึม หรือมีโรคแทรกซ้อนบางอย่าง คุณแม่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและป้องกันผลกระทบต่อพัฒนาการทารกค่ะ
ในไตรมาส 3 น้ำหนักควรเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะทารกกำลังโตอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการที่น้ำหนักลดในช่วงนี้ถือว่า ไม่ปกติและอาจเป็นสัญญาณอันตราย เช่น ภาวะโภชนาการไม่เพียงพอ ทารกเจริญเติบโตช้า หรือปัญหาสุขภาพอื่น ๆ หากพบว่าน้ำหนักลด ควรรีบปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการทันที เพื่อดูแลให้เหมาะสมและปลอดภัยต่อทั้งแม่และลูกค่ะ
ตารางอาหารคนท้องในแต่ละวัน
ผักที่คนท้องควรกิน
ผลไม้คนท้อง มีอะไรบ้าง
อาหารเสริมคนท้อง
อาหารที่คนท้องห้ามกิน
คนท้องหิวบ่อย เพราะอะไร
อาหารว่างสำหรับคนท้อง
กินยังไงให้ลงลูก
Enfa สรุปให้ ยาแก้ไอคนท้องที่ใช้ได้ เช่น ยากดอาการไอ (dextromethorphan) ยาละลายเสมหะ (acetylcys...
อ่านต่อ
Enfa สรุปให้ คนท้องไม่สบายกินยาอะไรได้บ้าง เมื่อคนท้องไม่สบาย ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาเองโดยไม่ปรึ...
อ่านต่อ
Enfa สรุปให้ ชีพจรคนท้องอ่อน หรือหัวใจเต้นช้ากว่า 60 ครั้งต่อนาที ถือว่ามีภาวะหัวใจเต้นช้ากว่าปก...
อ่านต่อ