นมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารก เอนฟาสนับสนุนให้คุณแม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือนไปจนถึง 2 ปี หรือนานกว่าตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) Enfa Smart Club พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลคุณแม่และลูกน้อย ด้วยการมอบข้อมูลโภชนาการและพัฒนาการลูกน้อยแต่ละวัย ที่เป็นประโยชน์และเชื่อถือได้ผ่านเว็บไซต์ enfababy.com

ทารกกลืนน้ำคร่ำอันตรายไหม ทารกถ่ายขี้เทาในครรภ์ เพราะอะไร

Enfa สรุปให้

  • การกลืนน้ำคร่ำถือเป็นเรื่องปกติของทารกในครรภ์ที่จะกลืนน้ำคร่ำเข้าไปตลอดเวลา แล้วขับถ่ายออกมาเป็นปัสสาวะ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารและทางเดินหายใจของทารกได้ฝึกทำงานก่อนจะออกมาเจอโลกภายนอก
  • กรณีที่รุนแรงคือทารกสูดน้ำคร่ำเข้าปอด โดยเฉพาะถ้าน้ำคร่ำมีขี้เทาปนอยู่ ซึ่งเสี่ยงทำให้ทารกหายใจลำบากหรือปอดอักเสบได้ อีกกรณีที่รุนแรงคือทารกสำลักน้ำคร่ำติดเชื้อ เพราะอาจทำให้ทารกปอดบวมติดเชื้อตั้งแต่แรกเกิด หากเชื้ออาจเข้าสู่กระแสเลือด อาจนำไปสู่ภาวะติดเชื้อในเลือดซึ่งอันตรายต่อชีวิต
  • ภาวะนี้พบได้บ่อยและแพทย์มีแนวทางรักษาที่ชัดเจน ถ้าทารกได้รับการดูแลรักษาอย่างทันท่วงทีและเหมาะสมก็จะมีโอกาสฟื้นตัวดีมาก

เลือกอ่านตามหัวข้อ

 

ทารกกลืนน้ำคร่ำอันตรายไหม

โดยทั่วไปแล้ว ทารกกลืนน้ำคร่ำไม่อันตรายค่ะ ทารกในครรภ์กินน้ำคร่ำเป็นเรื่องปกติตามพัฒนาการ โดยทารกจะกลืนน้ำคร่ำเข้าไปตลอดเวลา แล้วขับถ่ายออกมาเป็นปัสสาวะ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารและทางเดินหายใจของทารกได้ฝึกทำงานก่อนจะออกมาเจอโลกภายนอก ทำให้บางครั้งทารกหลังคลอดจะยังคงมีน้ำคร่ำอยู่ในกระเพาะอยู่บ้าง และร่างกายจะค่อยๆ ขับออกมาเองตามธรรมชาติ

กรณีที่อันตรายคือทารกสูดน้ำคร่ำเข้าปอด โดยเฉพาะถ้าน้ำคร่ำมีขี้เทาปนอยู่ ซึ่งเสี่ยงทำให้ทารกหายใจลำบากหรือปอดอักเสบได้ 

 

ทารกถ่ายขี้เทาในครรภ์ 

โดยทั่วไป ทารกในครรภ์ไม่ควรถ่ายขี้เทาออกมาในน้ำคร่ำค่ะ ทารกถ่ายขี้เทาในครรภ์ เกิดจากภาวะเครียด (Fetal Distress) เช่น ขาดออกซิเจน, รกลอกตัว, อายุครรภ์เกินกำหนดคลอด, หรือกระบวนการคลอดยาวนาน ขี้เทาที่ถ่ายออกมาจะไปปนกับน้ำคร่ำ เสี่ยงที่ทารกจะสูดขี้เทาพร้อมน้ำคร่ำเข้าปอด ทำให้หายใจลำบาก

 

ลูกสําลักน้ำคร่ำ

ลูกสำลักน้ำคร่ำสามารถเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะช่วงใกล้คลอดหรือขณะคลอด โดยปกติแล้วทารกในครรภ์จะฝึกการทำงานของระบบทางเดินหายใจโดยการขยับหน้าอกและกลืนน้ำคร่ำ แต่หากเกิดภาวะเครียด (Fetal Distress) เช่น ขาดออกซิเจน ทารกอาจหายใจเฮือก (Gasping) ในครรภ์จนเกิดการสูดน้ำคร่ำเข้าปอดได้ นอกจากนี้ในช่วงระหว่างการคลอดหรือหลังคลอดทันที หากทารกมีน้ำคร่ำในปากหรือจมูก แล้วทารกพยายามหายใจครั้งแรกก็อาจสูดน้ำคร่ำเข้าไปได้ และน้ำคร่ำก็อาจถูกดันเข้าปอดได้

ทั้งนี้ ถ้าน้ำคร่ำใส ไม่มีขี้เทาปน การสำลักน้ำคร่ำก็มักไม่ก่อให้เกิดอาการรุนแรง แต่อาจทำให้ทารกหายใจลำบากชั่วคราว แต่ร่างกายมักขับออกได้ โดยแพทย์จะช่วยดูแลและเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดค่ะ 

 

สําลักขี้เทาอันตรายไหม 

ทารกสำลักขี้เทา (Meconium Aspiration Syndrome) เป็นหนึ่งในภาวะฉุกเฉินของทารกแรกเกิด เพราะ ขี้เทามีความเหนียวและหนืด ไม่เหมือนน้ำคร่ำใสๆ มีความเสี่ยงที่จะอุดกั้นทางเดินหายใจ โดยอาจอุดหลอดลมบางส่วนหรือทั้งหมด ทำให้ทารกหายใจลำบาก และยังระคายเคืองเนื้อปอด ทำให้ทารกปอดอักเสบ หรือติดเชื้อได้ง่าย รวมถึงลดประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนออกซิเจน ทำให้ทารกอาจขาดออกซิเจน ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อสมองและอวัยวะสำคัญต่างๆ

 

สำลักน้ำคร่ำติดเชื้อ

ลูกสำลักน้ำคร่ำติดเชื้อสามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน ปกติแล้วน้ำคร่ำควรจะปลอดเชื้อ เพราะถูกห่อหุ้มไว้ในถุงน้ำคร่ำ แต่ในบางกรณี น้ำคร่ำก็สามารถติดเชื้อได้ ภาวะนี้เรียกว่า ภาวะถุงน้ำคร่ำอักเสบ (Chorioamnionitis) ซึ่งอาจเกิดจาก

  • การติดเชื้อจากช่องคลอดหรือปากมดลูกลุกลามเข้าไป ปกติช่องคลอดและปากมดลูกจะมีเชื้อแบคทีเรียอยู่แล้วตามธรรมชาติ เมื่อถุงน้ำคร่ำแตก เชื้อจะเข้าไปสู่ถุงน้ำคร่ำได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะถ้า ถุงน้ำคร่ำแตกนานเกิน 18 ชั่วโมง
  • การติดเชื้อทางกระแสเลือดของแม่ ถ้าแม่มีการติดเชื้อรุนแรง เช่น เชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือด เชื้ออาจแพร่ไปยังถุงน้ำคร่ำได้
  • หัตถการทางสูติกรรมบางอย่าง เช่น การตรวจภายในก่อนคลอดบ่อยๆ หลังถุงน้ำคร่ำแตก หรือการใช้เครื่องมือช่วยคลอด ซึ่งอาจเพิ่มโอกาสให้เชื้อเข้าสู่โพรงมดลูกได้

 

ทารกสำลักน้ำคร่ำติดเชื้อถือเป็นภาวะฉุกเฉิน เพราะเชื้อสามารถแพร่เข้าสู่กระแสเลือดได้ และยังส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจของทารกทันทีหลังคลอด โดยความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นมีดังต่อไปนี้

  • เชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ปอดทารกโดยตรง ทำให้เกิดปอดบวม (Neonatal Pneumonia) ในทารกอย่างรวดเร็ว
  • อุดกั้นทางเดินหายใจ ถ้าน้ำคร่ำมีเชื้อโรคปน อาจทำให้เกิดอาการปอดอุดตันและอักเสบรุนแรง
  • เสี่ยงติดเชื้อในกระแสเลือด เชื้ออาจแพร่จากปอดเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ความดันต่ำ ทารกซึม ไม่ตอบสนอง
  • ภาวะพร่องออกซิเจน ทารกอาจหายใจลำบากเรื้อรัง ทำให้สมองและอวัยวะสำคัญขาดออกซิเจน

 

การดูแลทารกสำลักน้ำคร่ำ

กรณีทารกสำลักน้ำคร่ำใส

ส่วนใหญ่อาการมักไม่รุนแรง เพราะน้ำคร่ำใสไม่เหนียว ไม่อุดตันปอด โดยหลังคลอด แพทย์หรือพยาบาลจะดูดน้ำคร่ำออกจากปากและจมูกทารกทันที โดยจะสังเกตเสียงร้อง สีผิว และการหายใจของทารก ถ้าทารกร้องเสียงดัง หน้าไม่เขียว ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย แต่หากทารกหายใจครืดคราด หายใจแรง หรือหน้าอกบุ๋ม แพทย์อาจพิจารณาให้ออกซิเจนช่วยหายใจ อย่างไรก็ตาม ทารกที่สำลักน้ำคร่ำใสมักฟื้นตัวได้ดี ส่วนใหญ่แค่ต้องการการเฝ้าสังเกตเพิ่มเติม

กรณีทารกสำลักขี้เทา

กรณีทารกสำลักขี้เทาถือเป็นอาการฉุกเฉิน เพราะขี้เทาอาจอุดตันหลอดลม ระคายเคืองเนื้อปอดจนนำไปสู่อาการปอดอักเสบ และทำให้ทารกหายใจลำบากจนขาดออกซิเจน หลังคลอดแพทย์และพยาบาลจะดูดขี้เทาออกจากปากและจมูกทารกทันที ถ้าทารกหายใจไม่ดี อาจต้องใส่ท่อช่วยหายใจเพื่อดูดเสมหะในปอดออกโดยตรง รวมถึงให้ออกซิเจนหรือใช้เครื่องช่วยหายใจถ้าจำเป็น และดูแลในห้อง NICU อย่างใกล้ชิด หากทารกได้รับการรักษาทันเวลา ส่วนใหญ่จะฟื้นตัวได้ดี แต่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

กรณีสำลักน้ำคร่ำติดเชื้อ

กรณีทารกสำลักน้ำคร่ำติดเชื้อถือเป็นอาการฉุกเฉิน เพราะอาจทำให้ทารกปอดบวมติดเชื้อตั้งแต่แรกเกิด หากเชื้ออาจเข้าสู่กระแสเลือด อาจนำไปสู่ภาวะติดเชื้อในเลือด (Sepsis) ซึ่งอันตรายต่อชีวิต ขั้นตอนการดูแลหลังคลอดจะเหมือนกับการดูแลทารกที่สำลักขี้เทา (ดูดน้ำคร่ำออก, ใช้เครื่องช่วยหายใจ, ดูแลต่อใน NICU) แต่จะมีการให้ยาปฏิชีวนะทางเส้นเลือดทันที เจาะเลือดส่งตรวจและเพาะเชื้อเพื่อติดตามอาการ และเฝ้าระวังอาการติดเชื้อของทารก เช่น ทารกซึม มีไข้ ไม่ดูดนม เป็นต้น กรณีทารกสำลักน้ำคร่ำติดเชื้อเป็นภาวะที่รุนแรงและต้องใช้เวลารักษานาน แต่หากทารกได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วและเหมาะสม ก็มีโอกาสฟื้นตัวและหายดี

 

คำแนะนำสำหรับคุณพ่อคุณแม่เมื่อลูกน้อยสำลักขี้เทา

  • เข้าใจภาวะนี้ว่าอาจเกิดขึ้นได้ ในบางกรณีเป็นภาวะรุนแรงที่ทารกแรกเกิดต้องได้รับการดูแลพิเศษต่อในโรงพยาบาล ไม่สามารถกลับบ้านไปพร้อมคุณแม่ได้ ลูกน้อยอาจต้องอยู่ NICU หลายวันถึงหลายสัปดาห์ 
  • อย่าตกใจจนเกินไป เพราะภาวะนี้พบได้บ่อยและแพทย์มีแนวทางรักษาที่ชัดเจน ถ้าลูกได้รับการดูแลรักษาอย่างทันท่วงทีและเหมาะสมก็จะมีโอกาสฟื้นตัวดีมาก
  • หลังออกจาก NICU ลูกจะได้รับการนัดติดตามพัฒนาการและสุขภาพปอด อย่าลืมพาลูกน้อยไปตามนัดแพทย์อย่างสม่ำเสมอ และคอยสังเกตอาการที่บ้าน หากลูกมีอาการหายใจหอบ เหนื่อยง่าย ไม่ยอมดูดนมแม่ หรือไอเรื้อรัง ควรรีบพาลูกกลับมาพบคุณหมอ
  • ให้กำลังใจลูกแล้ว อย่าลืมให้กำลังใจตัวเองด้วยนะคะ

 

เลือกโภชนาการที่มี MFGM เพื่อ IQ และทักษะสมองเพื่อความสำเร็จ EF ที่เหนือกว่า

EF

นอกจากการดูแลสุขภาพ และเฝ้าสังเกตพัฒนาการของของลูกน้อยหลังคลอด การดูแลด้านโภชนาการตั้งแต่แรกเกิด โดยเฉพาะในช่วง 5 ปีแรกของชีวิตนั้น ถือว่าเป็นการปูพื้นฐานที่สำคัญให้กับชีวิตของลูก จะช่วยให้ลูกพร้อมเติบโตมาเป็นเด็กที่ทั้งฉลาดทางความคิดและฉลาดทางอารมณ์

โภชนาการที่สำคัญที่ลูกน้อยควรได้รับก็คือนมแม่ เพราะในนมแม่ที่มี MFGM หนึ่งเดียวที่มีงานวิจัยรองรับว่า* ช่วยให้มี IQ และทักษะ EF ที่เหนือกว่าตั้งแต่ 5 ขวบปีแรก ให้ลูกพร้อมกว่าเมื่อถึงวัยเข้าเรียน โดย MFGM ในนมแม่ เป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างเส้นใยประสาท (Myelin Sheath) และเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งสัญญาณประสาทเชื่อมต่อระหว่างเซลล์สมอง ทำให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเรียนรู้และจดจำได้ดียิ่งขึ้น

*สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีและศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย. นมแม่กับการพัฒนาทักษะสมองส่วน Executive Function. 2561

 

บทความแนะนำสำหรับคุณแม่

 

 

* นมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารก
Enfa Smart Club สนับสนุนให้คุณแม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่าง
เดียวอย่างน้อย 6 เดือนและให้นมแม่ควบคู่อาหารตามวัยอีก 2 ปี หรือนานกว่านั้น ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO)
Enfa Smart Club พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลคุณแม่และลูกน้อย ด้วยการมอบข้อมูลโภชนาการและพัฒนาการลูกน้อยแต่ละวัย ที่เป็นประโยชน์และเชื่อถือได้ ผ่านเว็บไซต์ enfababy.com

คุณกำลังเข้าถึงเนื้อหาจากผู้ให้บริการภายนอกเกี่ยวกับการซื้อหรือ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของบริษัท มี้ด จอห์นสัน นิวทริชัน (ประเทศไทย) จำกัด​

กรุณากดยืนยันเพื่อดำเนินการต่อ

Line TH
Cart TH Join Enfamama