Enfa สรุปให้
เลือกอ่านตามหัวข้อ
โดยทั่วไปแล้ว ทารกกลืนน้ำคร่ำไม่อันตรายค่ะ ทารกในครรภ์กินน้ำคร่ำเป็นเรื่องปกติตามพัฒนาการ โดยทารกจะกลืนน้ำคร่ำเข้าไปตลอดเวลา แล้วขับถ่ายออกมาเป็นปัสสาวะ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารและทางเดินหายใจของทารกได้ฝึกทำงานก่อนจะออกมาเจอโลกภายนอก ทำให้บางครั้งทารกหลังคลอดจะยังคงมีน้ำคร่ำอยู่ในกระเพาะอยู่บ้าง และร่างกายจะค่อยๆ ขับออกมาเองตามธรรมชาติ
กรณีที่อันตรายคือทารกสูดน้ำคร่ำเข้าปอด โดยเฉพาะถ้าน้ำคร่ำมีขี้เทาปนอยู่ ซึ่งเสี่ยงทำให้ทารกหายใจลำบากหรือปอดอักเสบได้
โดยทั่วไป ทารกในครรภ์ไม่ควรถ่ายขี้เทาออกมาในน้ำคร่ำค่ะ ทารกถ่ายขี้เทาในครรภ์ เกิดจากภาวะเครียด (Fetal Distress) เช่น ขาดออกซิเจน, รกลอกตัว, อายุครรภ์เกินกำหนดคลอด, หรือกระบวนการคลอดยาวนาน ขี้เทาที่ถ่ายออกมาจะไปปนกับน้ำคร่ำ เสี่ยงที่ทารกจะสูดขี้เทาพร้อมน้ำคร่ำเข้าปอด ทำให้หายใจลำบาก
ลูกสำลักน้ำคร่ำสามารถเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะช่วงใกล้คลอดหรือขณะคลอด โดยปกติแล้วทารกในครรภ์จะฝึกการทำงานของระบบทางเดินหายใจโดยการขยับหน้าอกและกลืนน้ำคร่ำ แต่หากเกิดภาวะเครียด (Fetal Distress) เช่น ขาดออกซิเจน ทารกอาจหายใจเฮือก (Gasping) ในครรภ์จนเกิดการสูดน้ำคร่ำเข้าปอดได้ นอกจากนี้ในช่วงระหว่างการคลอดหรือหลังคลอดทันที หากทารกมีน้ำคร่ำในปากหรือจมูก แล้วทารกพยายามหายใจครั้งแรกก็อาจสูดน้ำคร่ำเข้าไปได้ และน้ำคร่ำก็อาจถูกดันเข้าปอดได้
ทั้งนี้ ถ้าน้ำคร่ำใส ไม่มีขี้เทาปน การสำลักน้ำคร่ำก็มักไม่ก่อให้เกิดอาการรุนแรง แต่อาจทำให้ทารกหายใจลำบากชั่วคราว แต่ร่างกายมักขับออกได้ โดยแพทย์จะช่วยดูแลและเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดค่ะ
ทารกสำลักขี้เทา (Meconium Aspiration Syndrome) เป็นหนึ่งในภาวะฉุกเฉินของทารกแรกเกิด เพราะ ขี้เทามีความเหนียวและหนืด ไม่เหมือนน้ำคร่ำใสๆ มีความเสี่ยงที่จะอุดกั้นทางเดินหายใจ โดยอาจอุดหลอดลมบางส่วนหรือทั้งหมด ทำให้ทารกหายใจลำบาก และยังระคายเคืองเนื้อปอด ทำให้ทารกปอดอักเสบ หรือติดเชื้อได้ง่าย รวมถึงลดประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนออกซิเจน ทำให้ทารกอาจขาดออกซิเจน ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อสมองและอวัยวะสำคัญต่างๆ
ลูกสำลักน้ำคร่ำติดเชื้อสามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน ปกติแล้วน้ำคร่ำควรจะปลอดเชื้อ เพราะถูกห่อหุ้มไว้ในถุงน้ำคร่ำ แต่ในบางกรณี น้ำคร่ำก็สามารถติดเชื้อได้ ภาวะนี้เรียกว่า ภาวะถุงน้ำคร่ำอักเสบ (Chorioamnionitis) ซึ่งอาจเกิดจาก
ทารกสำลักน้ำคร่ำติดเชื้อถือเป็นภาวะฉุกเฉิน เพราะเชื้อสามารถแพร่เข้าสู่กระแสเลือดได้ และยังส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจของทารกทันทีหลังคลอด โดยความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นมีดังต่อไปนี้
ส่วนใหญ่อาการมักไม่รุนแรง เพราะน้ำคร่ำใสไม่เหนียว ไม่อุดตันปอด โดยหลังคลอด แพทย์หรือพยาบาลจะดูดน้ำคร่ำออกจากปากและจมูกทารกทันที โดยจะสังเกตเสียงร้อง สีผิว และการหายใจของทารก ถ้าทารกร้องเสียงดัง หน้าไม่เขียว ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย แต่หากทารกหายใจครืดคราด หายใจแรง หรือหน้าอกบุ๋ม แพทย์อาจพิจารณาให้ออกซิเจนช่วยหายใจ อย่างไรก็ตาม ทารกที่สำลักน้ำคร่ำใสมักฟื้นตัวได้ดี ส่วนใหญ่แค่ต้องการการเฝ้าสังเกตเพิ่มเติม
กรณีทารกสำลักขี้เทาถือเป็นอาการฉุกเฉิน เพราะขี้เทาอาจอุดตันหลอดลม ระคายเคืองเนื้อปอดจนนำไปสู่อาการปอดอักเสบ และทำให้ทารกหายใจลำบากจนขาดออกซิเจน หลังคลอดแพทย์และพยาบาลจะดูดขี้เทาออกจากปากและจมูกทารกทันที ถ้าทารกหายใจไม่ดี อาจต้องใส่ท่อช่วยหายใจเพื่อดูดเสมหะในปอดออกโดยตรง รวมถึงให้ออกซิเจนหรือใช้เครื่องช่วยหายใจถ้าจำเป็น และดูแลในห้อง NICU อย่างใกล้ชิด หากทารกได้รับการรักษาทันเวลา ส่วนใหญ่จะฟื้นตัวได้ดี แต่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
กรณีทารกสำลักน้ำคร่ำติดเชื้อถือเป็นอาการฉุกเฉิน เพราะอาจทำให้ทารกปอดบวมติดเชื้อตั้งแต่แรกเกิด หากเชื้ออาจเข้าสู่กระแสเลือด อาจนำไปสู่ภาวะติดเชื้อในเลือด (Sepsis) ซึ่งอันตรายต่อชีวิต ขั้นตอนการดูแลหลังคลอดจะเหมือนกับการดูแลทารกที่สำลักขี้เทา (ดูดน้ำคร่ำออก, ใช้เครื่องช่วยหายใจ, ดูแลต่อใน NICU) แต่จะมีการให้ยาปฏิชีวนะทางเส้นเลือดทันที เจาะเลือดส่งตรวจและเพาะเชื้อเพื่อติดตามอาการ และเฝ้าระวังอาการติดเชื้อของทารก เช่น ทารกซึม มีไข้ ไม่ดูดนม เป็นต้น กรณีทารกสำลักน้ำคร่ำติดเชื้อเป็นภาวะที่รุนแรงและต้องใช้เวลารักษานาน แต่หากทารกได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วและเหมาะสม ก็มีโอกาสฟื้นตัวและหายดี
นอกจากการดูแลสุขภาพ และเฝ้าสังเกตพัฒนาการของของลูกน้อยหลังคลอด การดูแลด้านโภชนาการตั้งแต่แรกเกิด โดยเฉพาะในช่วง 5 ปีแรกของชีวิตนั้น ถือว่าเป็นการปูพื้นฐานที่สำคัญให้กับชีวิตของลูก จะช่วยให้ลูกพร้อมเติบโตมาเป็นเด็กที่ทั้งฉลาดทางความคิดและฉลาดทางอารมณ์
โภชนาการที่สำคัญที่ลูกน้อยควรได้รับก็คือนมแม่ เพราะในนมแม่ที่มี MFGM หนึ่งเดียวที่มีงานวิจัยรองรับว่า* ช่วยให้มี IQ และทักษะ EF ที่เหนือกว่าตั้งแต่ 5 ขวบปีแรก ให้ลูกพร้อมกว่าเมื่อถึงวัยเข้าเรียน โดย MFGM ในนมแม่ เป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างเส้นใยประสาท (Myelin Sheath) และเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งสัญญาณประสาทเชื่อมต่อระหว่างเซลล์สมอง ทำให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเรียนรู้และจดจำได้ดียิ่งขึ้น
*สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีและศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย. นมแม่กับการพัฒนาทักษะสมองส่วน Executive Function. 2561
บทความแนะนำสำหรับคุณแม่
ทารกกลืนน้ำคร่ำอันตรายไหม ทารกในครรภ์กินน้ำคร่ำเป็นปกติหรือเปล่า ทารกถ่ายขี้เทาในครรภ์ เกิดจากอะไ...
อ่านต่อEnfa สรุปให้ การตัดสินใจเลือกฝากครรภ์ที่ไหนดี ควรเปรียบเทียบข้อมูลทั้งคลินิก โรงพยาบาลรัฐบาล แล...
อ่านต่อEnfa สรุปให้ ข้อห้ามคนท้อง ไม่ใช่การห้ามเด็ดขาดแต่เป็นข้อควรระวังเพื่อความปลอดภัย โดยเน้นการหลี...
อ่านต่อ