นมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารก เอนฟาสนับสนุนให้คุณแม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือนไปจนถึง 2 ปี หรือนานกว่าตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) Enfa Smart Club พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลคุณแม่และลูกน้อย ด้วยการมอบข้อมูลโภชนาการและพัฒนาการลูกน้อยแต่ละวัย ที่เป็นประโยชน์และเชื่อถือได้ผ่านเว็บไซต์ enfababy.com

อุณหภูมิร่างกายปกติเด็กคือเท่าไหร่ ถ้าลูกมีไข้ 38 อันตรายไหม

Enfa สรุปให้

  • ลูกไข้ 38 อันตรายไหม การมีไข้ที่อุณหภูมิ 38 องศาเซลเซียส ถือว่ามีไข้ระดับกลาง การบรรเทาไข้ด้วยการกินยาลดไข้ การเช็ดตัว การกินอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำมาก ๆ พักผ่อนมาก ๆ ช่วยบรรเทาอาการให้ดีขึ้นได้
  • อุณหภูมิร่างกายปกติเด็ก จะอยู่ระหว่าง 36.4 - 37.4 หากอุณหภูมิต่ำกว่านี้หรือสูงมากกว่านี้ ถือว่ามีความเสี่ยงต่อสุขภาพ ควรพาลูกไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาสะม
  • ปรอทวัดไข้ต้องบวก 0.5 ไหม โดยทั่วไปแล้วมักแนะนำว่าถ้าวัดไข้ที่รักแร้ควรบวกเพิ่มอีก 0.5 องศาเซลเซียส หากวัดทางปาก ควรบวกเพิ่มอีก 0.3 องศาเซลเซียส เพื่อให้ได้อุณหภูมิที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริง

เลือกอ่านตามหัวข้อ


เวลาที่สัมผัสตัวลูกแล้วพบว่าลูกตัวอุ่นผิดปกติ หรือตัวร้อนจี๋ขึ้นมาอย่างชัดเจน คุณพ่อคุณแม่หลายท่านมักจะตีขลุมไปก่อนแล้วว่า ลูกมีไข้ หรือกำลังไม่สบาย แต่ในความเป็นจริงแล้ว อาการตัวอุ่นจัด ตัวร้อนจัด อาจไม่ได้แปลว่าลูกมีไข้เสมอไป เพราะการสัมผัสตัวไม่สามรถบอกได้แม่นยำว่าลูกกำลังมีไข้ แต่การวัดไข้จะช่วยบอกได้อย่างชัดเจนที่สุดว่าลูกมีไข้จริงหรือไม่

บทความนี้จาก Enfa มีสาระน่ารู้เกี่ยวกับการสังเกตอุณหภูมิร่างกายของลูกมาฝากค่ะ มาดูกันว่าอุณหภูมิร่างกายปกติ เด็กต้องมีอุณหภูมิร่างกายอยู่ที่เท่าไหร่ ถ้าวัดไข้แล้ว ลูกไข้ 38 อันตรายไหม และอุณหภูมิแบบไหนที่อันตรายควรไปพบแพทย์

 

 

อุณหภูมิร่างกายปกติเด็ก

อุณหภูมิร่างกายเด็ก และอุณหภูมิทารกปกติ ควรจะอยู่ที่ราว ๆ 36.4 - 37.4 องศาเซลเซียสค่ะ หากลูกมีอุณหภูมิต่ำกว่า 35 องศาเซลเซียส จะเสี่ยงต่อภาวะตัวเย็นผิดปกติ แต่ถ้าลูกมีอุณหภูมิสูงเกิน 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป ก็จะถือว่ามีไข้

 

อุณหภูมิไข้เด็ก

วัดไข้เด็กกี่องศา? โดยทั่วไปแล้วเวลาที่ใช้ปรอทวัดไข้เด็ก หากลูกมีอุณหภูมิตั้งแต่ 37.5 องศาเซลเซียสเป็นต้นไป จะถือว่ามีไข้ค่ะ

อย่างไรก็ตาม ระดับอุณหภูมิไข้เด็ก ก็ยังสามารถแบ่งออกตามความรุนแรงได้อีก ดังนี้

  • อุณหภูมิที่ 37.5 - 38.4 องศาเซลเซียสนี้ จะถือว่ามีไข้ระดับต่ำ การพักผ่อน การดื่มน้ำมาก ๆ และการกินยาลดไข้ ช่วยบรรเทาอาการให้ดีขึ้นได้
  • อุณหภูมิร่างกายสูงตั้งแต่ 38.5 - 39.4 องศาเซลเซียสขึ้นไป กรณีนี้ถือว่ามีไข้สูง ควรพาลูกไปพบแพทย์
  • อุณหภูมิร่างกายตั้งแต่ 40 องศาเซลเซียสขึ้นไป ถือว่ามีไข้สูงมาก และเสี่ยงอันตราย ควรพาลูกไปพบแพทย์ทันที

 

อุณหภูมิทารก 1 เดือน

อุณหภูมิร่างกายทารกแรกเกิด จะอยู่ระหว่าง 36.4 - 37.4 เช่นเดียวกับเด็กและผู้ใหญ่ค่ะ แต่ถ้าหากใช้ปรอทวัดอุณหภูมิแล้วพบว่าทารก 1 เดือน มีอุณหภูมิร่างกายสูงหรือต่ำกว่านี้ ควรพาไปพบแพทย์ทันที เนื่องจากการเจ็บป่วยในทารกแรกเกิด จำเป็นต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ และการกินยาสำหรับทารกแรกเกิดนั้น จะต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดอีกด้วย

 

วิธีวัดไข้เด็กทารก

การวัดไข้เด็กทารก หรือการวัดอุณหภูมิร่างกายทารกแรกเกิด คุณพ่อคุณแม่สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการใช้ปรอทหรือเทอร์โมมิเตอร์แบบดิจิทัล วัดอุณหภูมิที่จุดใดจุดหนึ่งของร่างกายลูกน้อย โดยจุดหลัก ๆ ที่นิยมทำการวัดไข้ มีดังนี้

 

  • วัดอุณหภูมิที่รักแร้

เป็นวิธีที่นิยมใช้ที่สุด และให้ผลที่ค่อนข้างแม่นยำ เหมาะกับเด็กที่อายุตั้งแต่ 5  ปีขึ้นไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ โดยวางเทอร์โมมิเตอร์ไว้ที่ใต้รักแร้ของลูก ทิ้งไว้จนกว่าเทอร์โมมิเตอร์แบบดิจิทัลจะมีเสียงปี๊บดังออกมาจึงค่อย ๆ นำออกและเช็กเลขอุณหภูมิที่ปรากฎบนหน้าจอ

 

  • วัดอุณหภูมิทางก้น

วิธีนี้นิยมใช้ในเด็กทารกและเด็กเล็ก โดยทาเจลหล่อลื่นที่ปลายเทอร์โมมิเตอร์ แล้วเสียบเข้าไปที่ก้นของทารกประมาณ ½ ถึง 1 นิ้ว รอจนเทอร์โมมิเตอร์ส่งเสียงและปรากฎตัวเลขอุณภูมิร่างกาย จึงค่อย ๆ ดึงออกอย่างเบามือ

 

  • วัดอุณหภูมิทางปาก

วิธีนี้ใช้ได้ทั้งในเด็กเล็กและผู้ใหญ่ โดยการวางปลายเทอร์โมมิเตอร์ไว้ใต้ลิ้นของลูก และบอกให้ให้ลูกปิดริมฝีปากลง รอจนเทอร์โมมิเตอร์ส่งสัญญาณเสียงออกมา จึงค่อย ๆ นำออกและอ่านตัวเลข วิธีนี้หากลูกเพิ่งจะรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำมา ควรรออย่างน้อย 15 นาทีแล้วจึงทำการวัดอุณหภูมิทางปาก

 

  • วัดอุณหภูมิที่หู

มักใช้ในเด็กทารกหรือเด็กเล็ก โดยค่อย ๆ พับใบหูของลูกไปทางด้านหลังเพื่อให้รูหูตรง แล้วค่อย ๆ สอดเทอร์โมมิเตอร์เข้าไปในหูด้วยระยะที่เหมาะสม ถือเทอร์โมมิเตอร์ให้แน่นจนกว่าเทอร์โมมิเตอร์จะส่งสัญญาณว่าวัดอุณหภูมิเสร็จแล้ว ถอดเทอร์โมมิเตอร์ออกและอ่านตัวเลข วิธีนี้ค่อนข้างแม่นยำ และใช้เวลาไม่นาน

 

ลูกไข้ 38 อันตรายไหม

ลูกมีไข้ 38 องศาเซลเซียส ถือว่าเป็นไข้ระดับกลาง การพักผ่อนที่เพียงพอ กินอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำมาก ๆ การเช็ดตัว และการกินยาลดไข้ ช่วยบรรเทาอาการให้ดีขึ้น และไข้ลดลงได้ค่ะ

แต่ถ้าหากไข้ของลูกไม่ลดลงภายใน 24 ชั่วโมง หรือลูกเป็นไข้หลายวันไม่หาย แม้ว่าจะกินยาลดไข้เด็กแล้วแต่ก็ยังตรวจพบอุณหภูมิที่ 38 องศาเซลเซียสอยู่ ควรพาลูกไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาต่อไปค่ะ

 

ปรอทวัดไข้ต้องบวก 0.5 ไหม

การวัดไข้ด้วยเทอร์โมมิเตอร์ แม้จะแม่นยำสูง แต่ก็อาจคลาดเคลื่อนจากความจริงได้เล็กน้อย ในหลาย ๆ ตำราจึงมีการแนะนำว่า หากเป็นการวัดอุณหภูมิที่รักแร้ ควรจะบวกเพิ่มไปอีก 0.5 องศาเซลเซียส หากวัดทางปาก ให้บวกเพิ่มอีก 0.3 องศาเซลเซียส เพื่อให้ได้ค่าอุณหภูมิที่ใกล้เคียงค่าจริงมากขึ้นค่ะ

 

ปรอทวัดไข้ทารกแบบไหนดี

ที่วัดไข้เด็กทารก ที่คุ้นเคยกันดีคือ ปรอทวัดไข้แบบแก้ว และปรอทวัดไข้เด็กทารกแบบดิจิทัล ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรเลือกใช้ปรอทวัดไข้แบบดิจิทัล หรือเทอร์โมมิเตอร์แบบดิจิทัล เนื่องจากปรอทวัดไข้แบบแก้วนั้น เสี่ยงที่จะมีการแตกหัก และทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ หรือถ้าหากปรอทแตก ลูกอาจได้สัมผัสกับสารพิษปรอทภายในแท่งแก้วอีกด้วย

 

วัดไข้ทารก และสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรรู้

การวัดไข้ทารก มีข้อแนะนำที่คุณพ่อคุณแม่ควรรู้ ดังนี้

  • การวัดไข้ทารกด้วยการใช้มือสัมผัส ไม่ให้ผลลัพธ์ของอุณหภูมิร่างกายที่แท้จริง แต่เป็นเพียงอุณหภูมิผิวหนังเท่านั้น แม้ว่าจับแล้วรู้สึกว่าลูกตัวร้อน แต่ไม่ได้หมายความว่าลูกจะมีไข้เสมอไป ควรใช้เทอร์โมมิเตอร์ตรวจอุณหภูมิที่รักแร้ หรือทางปาก เพื่อให้ทราบอุณหภูมิร่างกายที่แท้จริง
  • ควรใช้เทอร์โมมิเตอร์แบบดิจิทัล เพราะปลอดภัยต่อการใช้งาน ให้ผลลัพธ์แม่นยำ ไม่เสี่ยงต่อการแตกหักที่จะก่อให้เกิดอุบัติเหตุกับลูกน้อยค่ะ
  • สำหรับเด็กทารก การวัดไข้ทางก้น เหมาะสมที่สุด และให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำ
  • การวัดไข้ทางก้นในทารก ควรใช้เจลหล่อลื่นทุกครั้ง และค่อย ๆ สอดเข้าไปในก้นอย่างช้า ๆ เบา ๆ และไม่ควรสอดลึกเกิน ½ - 1 นิ้ว เพราะอาจทำให้ลูกน้อยไม่สบายตัว ร้องไห้งอแงได้
  • หากที่บ้านมีแต่ปรอทแก้ว และปรอทแก้วนั้นแตกขึ้นมาขณะทำการวัดไข้ หากลูกสัมผัสกับสารปรอทในแท่งแก้ว ให้พาลูกไปพบแพทย์ในทันที

 

เลือกโภชนาการที่มี MFGM เพื่อ IQ และทักษะสมองเพื่อความสำเร็จ EF ที่เหนือกว่า

โภชนาการที่ดี ไม่เพียงช่วยป้องกันการเจ็บป่วย และช่วยให้ร่างกายของลูกแข็งแรงเท่านั้น แต่ยังมีส่วนช่วยกระตุ้นและเสริมสร้างการทำงานของสมองให้สมวัยอีกด้วย โภชนาการที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น จึงมีส่วนช่วยให้สมองของลูกน้อยแข็งแรง ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ดังนั้น ในช่วง 6 เดือนแรกของชีวิต ควรให้ทารกได้กินนมแม่อย่างต่อเนื่อง เพราะในนมแม่นั้นมี MFGM สุดยอดสารอาหารในนมแม่ ประกอบด้วยไขมันและโปรตีนกว่า 150 ชนิด รวมทั้งสฟิงโกไมอีลิน ฟอสโฟลิปิด แกงกลิโอไซด์ มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างพัฒนาการสมองของลูกน้อย และยังเป็นสารอาหารชนิดเดียวที่ช่วยให้ลูกมี IQ และทักษะ EF ที่เหนือกว่าตั้งแต่ 5 ปีแรก

 


บทความแนะนำสำหรับคุณแม่ดูแลลูกน้อย

 

* นมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารก
Enfa Smart Club สนับสนุนให้คุณแม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่าง
เดียวอย่างน้อย 6 เดือนและให้นมแม่ควบคู่อาหารตามวัยอีก 2 ปี หรือนานกว่านั้น ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO)
Enfa Smart Club พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลคุณแม่และลูกน้อย ด้วยการมอบข้อมูลโภชนาการและพัฒนาการลูกน้อยแต่ละวัย ที่เป็นประโยชน์และเชื่อถือได้ ผ่านเว็บไซต์ enfababy.com

คุณกำลังเข้าถึงเนื้อหาจากผู้ให้บริการภายนอกเกี่ยวกับการซื้อหรือ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของบริษัท มี้ด จอห์นสัน นิวทริชัน (ประเทศไทย) จำกัด​

กรุณากดยืนยันเพื่อดำเนินการต่อ

Line TH
Cart TH Join Enfamama