นมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารก เอนฟาสนับสนุนให้คุณแม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือนไปจนถึง 2 ปี หรือนานกว่าตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) Enfa Smart Club พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลคุณแม่และลูกน้อย ด้วยการมอบข้อมูลโภชนาการและพัฒนาการลูกน้อยแต่ละวัย ที่เป็นประโยชน์และเชื่อถือได้ผ่านเว็บไซต์ enfababy.com

หน้า 7 หลัง 7 คืออะไร หน้า 7 หลัง 7 โอกาสท้องกี่เปอร์เซ็นต์

Enfa สรุปให้

  • วิธีคุมกำเนิดแบบ “หน้า 7 หลัง 7” เป็นวิธีคุมกำเนิดแบบโบราณที่เกิดขึ้นมาก่อนจะมียาคุมกำเนิดสมัยใหม่ โดยมีสูตรคำนวณง่ายๆ ว่า “7 วันแรกหลังหมดประจำเดือน” + “7 วันก่อนประจำเดือนรอบใหม่” = ระยะปลอดภัย
  • วิธี “หน้า 7 หลัง 7” มีโอกาสพลาดสูง โดยอัตราล้มเหลวอยู่ที่ประมาณ 20-25% ต่อปี ในขณะที่ยาคุม/ห่วงคุมกำเนิดมีโอกาสพลาดน้อยกว่า 1% ต่อปี สาเหตุที่มีโอกาสท้องได้เพราะสูตร “หน้า 7 หลัง 7” เป็นแค่การนับแบบง่ายๆ ไม่ได้อิงข้อมูลของร่างกายจริงในรอบนั้น
  • หากไม่พร้อมตั้งครรภ์ ไม่ควรใช้วิธีหน้า 7 หลัง 7 เป็นวิธีคุมกำเนิดหลัก

เลือกอ่านตามหัวข้อ

 

นมสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์

หน้า 7 หลัง 7 คืออะไร

วิธีคุมกำเนิดแบบ “หน้า 7 หลัง 7” เป็นวิธีคุมกำเนิดแบบโบราณที่เกิดขึ้นมาก่อนจะมียาคุมกำเนิดสมัยใหม่ และอุปกรณ์คุมกำเนิดอื่นๆ สิ่งที่เราเรียกกันว่า “หน้า 7 หลัง 7” จริง ๆ แล้วมีที่มาจากแนวคิดทางการแพทย์ตะวันตกที่เรียกว่า Rhythm Method หรือ Calendar Method (วิธีคุมกำเนิดแบบปฏิทิน) ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ที่เกิดจากการสังเกตทางธรรมชาติว่า ผู้หญิงจะมีรอบเดือนประมาณ 28 วัน และในรอบเดือนนั้น ไข่จะตกเพียงครั้งเดียว และมักจะอยู่ช่วงกลางรอบ (ประมาณวันที่ 14 ถ้านับจากวันแรกของประจำเดือน) จากการค้นพบนี้ แพทย์และองค์กรศาสนาจึงเริ่มเผยแพร่ “วิธีนับวันปลอดภัย” ให้คู่สมรสใช้เป็นการคุมกำเนิดโดยไม่ต้องพึ่งยาคุมหรืออุปกรณ์คุมกำเนิด

จากการค้นพบนี้ นำไปสู่การสร้างแนวคิดที่เข้าใจได้ง่ายขึ้นสำหรับคนทั่วไป โดยไม่ต้องคำนวณซับซ้อน จึงกลายเป็นสูตรท่องจำง่ายๆ ว่า “7 วันแรกหลังหมดประจำเดือน” + “7 วันก่อนประจำเดือนรอบใหม่” = ระยะปลอดภัยที่โอกาสท้องของผู้หญิงค่อนข้างน้อย ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นการลดรูปจากทฤษฎี Rhythm Method ที่ซับซ้อนกว่านั้น

 

หน้า 7 หลัง 7 นับยังไง

แล้วจะนับหน้า 7 หลัง 7 ยังไง มาดูวิธีนับหน้า 7 หลัง 7 ตามหลักการกันค่ะ

  • วันแรกของประจำเดือน = วันที่ 1 (นับตั้งแต่มีเลือดออกจริงๆ ไม่ใช่แค่เลอะนิดหน่อย)
  • “หลัง 7” = 7 วันแรกของรอบเดือน ก็คือช่วงที่ยังมีประจำเดือนหรือเพิ่งหมดประจำเดือนใหม่ๆ เช่น ถ้าประจำเดือนมาวันที่ 29 วันที่ 29-5 = หลัง 7 ซึ่งถือเป็นระยะปลอดภัย
  • “หน้า 7” = 7 วันสุดท้ายก่อนประจำเดือนรอบใหม่มา เช่น ถ้าประจำเดือนรอบใหม่จะมาในวันที่ 29 ของทุกเดือน วันที่ 22–28 ของเดือน = หน้า 7 ซึ่งถือเป็นระยะปลอดภัย
  • ช่วงกลาง (วันที่ 6–21) = ช่วงเสี่ยง (มีการตกไข่ในช่วงนี้)

 

หน้า 7 หลัง 7 มีโอกาสท้องไหม 

หลายคนอาจมีคำถามว่าแล้วใช้วิธีหน้า 7 หลัง 7 ท้องไหม ต้องบอกว่าการใช้วิธี “หน้า 7 หลัง 7” คุมกำเนิดเพียงอย่างเดียวถือเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพน้อย เหตุผลที่ยังท้องได้ก็เพราะ

  • รอบเดือนของผู้หญิงมักไม่เป๊ะเสมอทุกรอบเดือน ถึงผู้หญิงจะมีรอบเดือนเฉลี่ย 28 วัน แต่จริงๆ บางเดือนก็อาจเลื่อนเป็น 26-32 วันได้ และแค่คลาดไป 2-3 วัน ก็อาจทำให้ “หน้า 7” หรือ “หลัง 7” ทับกับช่วงไข่ตกได้
  • การตกไข่ไม่ตายตัวขนาดนั้น ตามตำรา ไข่จะตกกลางรอบ (ถ้ารอบเดือน 28 วัน ไข่จะตกวันที่ 14) แต่จริงๆ แล้วอาจตกไข่เร็วหรือช้ากว่านั้นได้ นี่คือเหตุผลที่ผู้หญิงที่อยากตั้งครรภ์หลายๆ คนต้องใช้ที่ตรวจไข่ตกในการหาวันไข่ตกที่ถูกต้อง
  • อสุจิอยู่ในร่างกายได้หลายวัน เมื่อมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันและมีการหลั่งใน อสุจิสามารถมีชีวิตอยู่ในร่างกายฝ่ายหญิงได้ 3-5 วัน ถ้าเพศสัมพันธ์ช่วงที่คิดว่า “ปลอดภัย” แต่อสุจิยังคงอยู่ แล้วไปเจอกับไข่ที่ตกช้าหรือเร็วกว่าปกติ ก็มีโอกาสปฎิสนธิและตั้งครรภ์ได้

 

หน้า 7 หลัง 7 โอกาสท้องกี่เปอร์เซ็นต์

ในทางการแพทย์มีการเก็บสถิติไว้ชัดเจนว่า วิธี “หน้า 7 หลัง 7” มีโอกาสพลาดสูง โดยอัตราล้มเหลว (กรณี Typical use หรือใช้จริงในชีวิตประจำวัน) อยู่ที่ประมาณ 20-25% ต่อปี แปลว่าถ้าผู้หญิง 100 คนใช้วิธีนี้เป็นหลักตลอด 1 ปี จะมี 20-25 คนที่ตั้งครรภ์ ส่วนอัตราล้มเหลว (กรณี Perfect use หรือนับแบบเป๊ะ และผู้หญิงมีรอบเดือนสม่ำเสมอไม่คลาดเคลื่อน ซึ่งหาได้ยาก) อยู่ที่ประมาณ 9% ต่อปี 

ถ้าอยากคุมกำเนิดแบบเห็นผลจริง แนะนำว่าใช้ถุงยาง, ยาคุม, ยาฉีด, ห่วงคุมกำเนิด (IUD) หรือวิธีสมัยใหม่อื่นๆ จะเป็นผลมากกว่าค่ะ 

 

หน้า 7 หลัง 7 ไม่ท้องจริงไหม

“หน้า 7 หลัง 7” ไม่ใช่วิธีที่ใช้การันตีว่าจะ “ไม่ท้อง” แต่ใช้คำนวณหาช่วงเวลาที่ “โอกาสท้องน้อยลง” กว่าช่วงกลางรอบเดือนที่มีไข่ตกค่ะ แต่ในชีวิตจริง รอบเดือนของผู้หญิงไม่ตรงเป๊ะ วันไข่ตกก็ไม่แน่นอน แถมอสุจิก็มีชีวิตอยู่ได้ 3-5 วัน ถ้าไข่ตกเร็วกว่าที่คิด อสุจิที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ผสมได้ สูตร “หน้า 7 หลัง 7” เป็นแค่การนับแบบง่ายๆ ไม่ได้อิงข้อมูลของร่างกายจริงในรอบนั้น จึงมีโอกาสท้องได้ค่ะ ถ้าไม่พร้อมมีลูก ไม่ควรใช้วิธีนี้เป็นหลัก

 

การนับหน้า 7 หลัง 7 ข้อดีข้อเสีย

ข้อดีของการนับหน้า 7 หลัง 7

  • ง่ายและไม่เสียค่าใช้จ่าย แค่จดวันที่มีประจำเดือนไว้ ไม่ต้องซื้อยา ไม่ต้องใช้อุปกรณ์
  • ไม่กระทบฮอร์โมน ต่างจากยาคุมที่ต้องกินฮอร์โมน หรือการคุมกำเนิดแบบถาวร
  • ไม่มีผลข้างเคียงทางกายภาพ ไม่ทำให้น้ำหนักขึ้น, ประจำเดือนเปลี่ยน, หรือมีอาการแพ้แบบถุงยาง

ข้อเสียของการนับหน้า 7 หลัง 7

  • ประสิทธิภาพต่ำมาก ในชีวิตจริงมีโอกาสพลาด 20-25% ต่อปี ในขณะที่ยาคุม/ห่วงคุมกำเนิดมีโอกาสพลาดน้อยกว่า 1% ต่อปี
  • ใช้ได้เฉพาะคนรอบเดือนสม่ำเสมอเท่านั้น ถ้ารอบเดือนสั้น, ยาว, หรือเลื่อนได้ง่าย ความแม่นยำจะหายไป
  • ต้องมีวินัยในการจดรอบเดือน ถ้าลืมหรือคำนวณผิด โอกาสท้องสูง
  • ไม่ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs) ต่างจากถุงยางที่ช่วยป้องกัน HIV, ซิฟิลิส, หนองใน ฯลฯ
  • อสุจิอยู่ในร่างกายได้หลายวัน แม้จะมีเพศสัมพันธ์วัน “ปลอดภัย” แต่ถ้าไข่ตกเร็วกว่าปกติก็ยังเสี่ยงมาก

 

อนาคตที่ดีที่สุดของลูกน้อย เริ่มต้นด้วยโภชนาการผ่านคุณแม่

คุณแม่เป็นวางรากฐานอนาคตของลูกน้อยนับตั้งแต่วันแรกของการตั้งครรภ์ นอกจากคุณแม่จะคอยใส่ใจสุขภาพและกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์แล้ว แม่ตั้งครรภ์ยังต้องการสารอาหารอย่างเพียงพอ เพื่อส่งต่อให้กับลูกน้อย ไม่ว่าจะเป็น

  • ดีเอชเอ (DHA) คือกรดไขมันจำเป็นในตระกูลโอเมก้า 3 เป็นโครงสร้างพื้นฐานของเซลล์สมอง และจอประสาทตา โดย WHO แนะนำให้คุณแม่ตั้งครรภ์กิน DHA คนท้อง ในปริมาณ 200 มิลลิกรัมต่อวัน เพื่อส่งเสริมพัฒนาการของสมองลูก
  • โฟเลต (Folate)  ที่มีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาของระบบประสาทและสมองของลูกน้อย โดยคุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับโฟเลตในปริมาณ 600-800 ไมโครกรัมต่อวัน
  • โคลีน (Choline) ที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาระบบประสาทส่วนกลาง และ Cognitive Function ของทารก โดยปริมาณที่แนะนำคือ 450 มิลลิกรัมต่อวัน
  • แคลเซียม (Calcium) เพื่อการเจริญของระบบกระดูกของทารก โดยปริมาณแคลเซียมคนท้องที่แนะนำคือ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน
  • เหล็ก (Iron) เพื่อการพัฒนาของตัวอ่อนและรก รวมถึงการเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดแดงของคุณแม่ โดยคุณแม่ควรได้รับธาตุเหล็กในระหว่างการตั้งครรภ์ในปริมาณ 15-30 มิลลิกรัมต่อวันเพื่อป้องกันภาวะโลหิตจาง

และยังรวมถึงสารอาหารอื่นๆ อีกมากมายที่คุณแม่อาจจะไม่ได้กินอย่างครบถ้วนจากมื้ออาหารปกติ การดื่มนมบำรุงครรภ์จึงเป็นทางเลือกที่ดีอย่างยิ่งในการเสริมสารอาหารให้กับคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ และอย่าลืมเลือกนมที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำเพื่อลดความเสี่ยงการเกิดภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ด้วยนะคะ

 

 

บทความแนะนำสำหรับคุณแม่

 

* นมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารก
Enfa Smart Club สนับสนุนให้คุณแม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่าง
เดียวอย่างน้อย 6 เดือนและให้นมแม่ควบคู่อาหารตามวัยอีก 2 ปี หรือนานกว่านั้น ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO)
Enfa Smart Club พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลคุณแม่และลูกน้อย ด้วยการมอบข้อมูลโภชนาการและพัฒนาการลูกน้อยแต่ละวัย ที่เป็นประโยชน์และเชื่อถือได้ ผ่านเว็บไซต์ enfababy.com

คุณกำลังเข้าถึงเนื้อหาจากผู้ให้บริการภายนอกเกี่ยวกับการซื้อหรือ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของบริษัท มี้ด จอห์นสัน นิวทริชัน (ประเทศไทย) จำกัด​

กรุณากดยืนยันเพื่อดำเนินการต่อ

Line TH
Cart TH Join Enfamama