นมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารก เอนฟาสนับสนุนให้คุณแม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือนไปจนถึง 2 ปี หรือนานกว่าตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) Enfa Smart Club พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลคุณแม่และลูกน้อย ด้วยการมอบข้อมูลโภชนาการและพัฒนาการลูกน้อยแต่ละวัย ที่เป็นประโยชน์และเชื่อถือได้ผ่านเว็บไซต์ enfababy.com

ใส่ถุงยางมีโอกาสท้องไหม ใส่ถุงยาง หลั่งในถุงยาง ท้องหรือเปล่า

Enfa สรุปให้

  • โอกาสท้องเมื่อใส่ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธี และใส่อยู่ตลอดการมีเพศสัมพันธ์ (ตั้งแต่เริ่มจนจบ ไม่หลุด ไม่ขาด ไม่ถอดกลางทาง) มีน้อยมาก
  • ความเสี่ยงในการคุมกำเนิดด้วยถุงยางอนามัยมักเกิดจากการใช้ผิดวิธีหรือเก็บรักษาไม่ถูกต้อง
  • การใช้ทั้งยาคุมและถุงยางเป็นเหมือนการป้องกันสองชั้น ป้องกันทั้งการตั้งครรภ์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เหมาะสำหรับคนที่อยากสบายใจสุดๆ หรือกังวลว่าตัวเองอาจลืมกินยาคุมบางวัน

เลือกอ่านตามหัวข้อ

 

นมสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์

เคยได้ยินคำพูดประมาณว่า หลังคลอดไม่ต้องคุมกำเนิด หรือให้นมแม่อยู่ไม่จำเป็นต้องคุมกำเนิดกันไหมคะ คุณแม่ลูกอ่อนอย่าได้หลงเชื่อโดยเด็ดขาด! บางคนตั้งใจว่าจะมีลูกคนเดียว แต่เบบี๋นัมเบอร์ทูดันตามมาติดๆ กลายเป็นมีลูกหัวปีท้ายปีซะงั้น!

นอกจากทำความเข้าใจเรื่องการกินยาคุมให้นมบุตรที่เล่าไปในบทความก่อนหน้าแล้ว ก็ได้เวลาที่คุณพ่อคุณแม่จะมารื้อฟื้นความรู้ในการใช้ถุงยางกันแล้วค่ะ

 

ใส่ถุงยางท้องไหม

หลายคนอาจกังวลว่า ใส่ถุงยางมีโอกาสท้องไหม ใส่ถุงยางทุกครั้งมีโอกาสท้องหรือเปล่า จริงๆ แล้วถ้าใส่ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธี และใส่อยู่ตลอดการมีเพศสัมพันธ์ (ตั้งแต่เริ่มจนจบ ไม่หลุด ไม่ขาด ไม่ถอดกลางทาง) โอกาสท้องจะเกิดขึ้นได้น้อยมาก เพราะถุงยางจะช่วยป้องกันไม่ให้สเปิร์มเข้าสู่ช่องคลอดได้

ความเสี่ยงเล็กน้อยที่อาจพบได้ เช่น ถุงยางรั่วหรือแตก ถุงยางหลุดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ ใส่กลับด้าน หรือไม่ได้บีบไล่อากาศที่ปลาย มักมาจากการใช้ถุงยางไม่ถูกวิธีค่ะ 

สรุปคือ ถ้าใช้ถูกต้อง ความเสี่ยงท้องแทบจะน้อยมากๆ ค่ะ แต่ถ้าไม่มั่นใจว่าถุงยางมีปัญหาหรือไม่ อาจพิจารณายาคุมฉุกเฉินเพื่อความสบายใจได้ค่ะ แต่ไม่ควรรับประทานยาคุมฉุกเฉินบ่อยๆ เพราะประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดต่ำ อีกทั้งยังมีปริมาณฮอร์โมนสูง ทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกายมาก

 

ใส่ถุงยาง หลั่งในถุงยาง ท้องไหม

ถ้าใส่ถุงยางอนามัยอย่างวิธี และใส่ตั้งแต่ก่อนสอดใส่จนเสร็จ แล้วหลั่งในถุงยาง โดยถุงไม่แตก ไม่รั่ว ไม่หลุด โอกาสท้องถือว่าน้อยมากค่ะ สิ่งที่ต้องระวังคือ ถุงยางแตกหรือรั่ว (เช่น อาจเก็บไม่ถูกวิธี หมดอายุ หรือโดนของมีคมขูด) หรือถุงยางหลุดตอนดึงออกหลังเสร็จกิจแล้ว ถ้าอสุจิไหลเข้าไปในช่องคลอดก็ยังมีโอกาสท้องได้ หรืออีกกรณีคือใช้ถุงยางไม่ถูกขนาด หลวมเกินไปหรือคับเกินไป ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดต่ำลงได้ ดังนั้น ถ้าใส่ถุงยางถูกวิธีและถุงยางไม่เสียหาย โอกาสท้องแทบไม่มีเลยค่ะ 

 

ใส่ถุงยาง แต่ไม่เสร็จท้องไหม

ถ้าใส่ถุงยางตั้งแต่ก่อนเริ่มสอดใส่ และถุงยางไม่แตก ไม่รั่ว ไม่หลุด และยิ่ง “ไม่เสร็จ” (ไม่ได้หลั่งน้ำอสุจิ) โอกาสท้องก็แทบไม่มีเลยค่ะ เพราะการตั้งครรภ์ต้องมีการปฏิสนธิจากอสุจิที่เข้าสู่ช่องคลอดและไปฝังตัวกับไข่ ถ้าใส่ถุงยางตั้งแต่ต้น น้ำหล่อลื่นก่อนการหลั่ง (Pre-cum) ที่อาจมีอสุจิเล็กน้อยก็จะถูกกักอยู่ในถุงยาง ไม่สามารถเข้าสู่ช่องคลอดได้ ดังนั้น ถ้าไม่หลั่ง หรือแม้มี Pre-cum แต่ถูกถุงยางป้องกันเอาไว้ โอกาสท้องจึงน้อยมากค่ะ

แต่ถ้ามีการสอดใส่เข้าไปก่อนโดยไม่ใส่ถุงยาง ถึงแม้จะยังไม่เสร็จ ก็ยังมีความเสี่ยงเล็กน้อย เพราะ Pre-cum อาจมีอสุจิค่ะ

 

ใส่ถุงยาง แตกนอก มีโอกาสท้องไหม

หลายคนสงสัยว่าใส่ถุงแล้วแตกนอกมีโอกาสท้องไหม ถ้าคุณผู้ชายใส่ถุงยางตลอดการสอดใส่ และดึงออกมาก่อนจะหลั่ง แล้วหลั่งข้างนอกถุงยาง (แตกนอก) มีความเสี่ยงท้องน้อยมากค่ะ แต่ความเสี่ยงยังคงสูงกว่าการใส่ถุงยางแล้วแตกในถุงอยู่ดี เพราะการใช้ถุงยางอย่างถูกวิธีคือต้องให้ถุงยางรองรับน้ำอสุจิไว้ในถุงโดยตรง

ความเสี่ยงหลักๆ มักเกิดตอน ถอดถุงยางออกเพื่อหลั่งนอก เพราะตอนดึงถุงยางออกมาเพื่อหลั่งนอก อสุจิอาจเล็ดรอดและเลอะบริเวณปากช่องคลอดได้ ทำให้ยังมีโอกาสท้อง หรือตอนดึงออก ถุงยางอาจจะเปื้อนอสุจิหรือ pre-cum ด้านนอก ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงอีกเล็กน้อย หรือในบางกรณี คุณผู้ชายอาจถอดถุงยางไม่ระวัง ทำให้อสุจิที่ค้างในถุงหกหรือเลอะบริเวณช่องคลอดได้ ดังนั้นการ “ใส่ถุงยางแล้วแตกนอก” จึงมีความเสี่ยงมากกว่าการใส่ถุงยางแล้วแตกในถุง ซึ่งปลอดภัยกว่า เพราะอสุจิถูกเก็บไว้ในถุงยางโดยตรง

 

ใส่ถุงยางแล้วต้องกินยาคุมไหม

ใส่ถุงแล้วต้องกินยาคุมไหม น่าจะเป็นคำถามคาใจคุณผู้หญิงหลายคน ถ้าใส่ถุงยางตลอดการมีเพศสัมพันธ์อย่างถูกวิธี (ตั้งแต่ก่อนสอดใส่จนเสร็จ โดยที่ถุงไม่แตก ไม่รั่ว ไม่หลุด ไม่ถอดระหว่างกิจกรรม) แล้วหลั่งในถุงยาง โดยปกติแล้วไม่จำเป็นต้องกินยาคุมฉุกเฉินค่ะ

ถ้าคุณผู้หญิงใช้ยาคุมกำเนิดแบบทั่วไป (ยาคุมรายเดือน / ยาคุมรายสัปดาห์ / ฝังยาคุม / ฉีดยาคุม / ห่วงอนามัยคุมกำเนิด) อยู่แล้ว ถ้ามีการกิน/ใช้ อย่างสม่ำเสมอและตรงเวลา ไม่จำเป็นต้องใส่ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ เพราะตัวยาคุมสามารถป้องกันได้อยู่แล้ว 

แต่การใส่ถุงยางยังมีประโยชน์อีกหลายอย่าง เช่น ช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) อย่าง โรคหนองใน, ซิฟิลิส, HIV ซึ่งยาคุมทั่วไปป้องกันไม่ได้ ถ้าใช้ทั้งยาคุมและถุงยางจึงเป็นเหมือนการป้องกันสองชั้น ป้องกันทั้งการตั้งครรภ์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เหมาะสำหรับคนที่อยากสบายใจสุดๆ หรือกังวลว่าตัวเองอาจลืมกินยาคุมบางวันค่ะ 

 

ใส่ถุงยางแต่กลัวท้อง

เรื่องนี้ถือเป็นความกังวลของหลายๆ คน แต่เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ถุงยางอนามัยเป็นหนึ่งในวิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพ ถ้าใส่ถูกต้องตั้งแต่ต้นจนจบ โอกาสท้องมีน้อยมาก และยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ด้วย ซึ่งวิธีคุมกำเนิดอื่นทำไม่ได้ 

ในชีวิตจริงของเรามักจะมี “ความเสี่ยงเล็กน้อย” บางอย่างจากความไม่รู้หรือไม่รอบคอบ เช่น ถุงยาง แตก/รั่ว/หลุด, ใส่ผิดวิธี (ไม่บีบไล่อากาศ, ใส่กลับด้าน), หรือถอดออกไม่ถูกต้อง ทำให้น้ำอสุจิหกเลอะจนเกิดความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น ความกังวลตรงนี้อาจทำให้หลายคนกลัวว่าจะพลาดท้อง ถึงแม้จะใช้ถุงยางอย่างถูกต้องแล้ว 

วิธีลดความกังวลที่ดีที่สุด ก็คือ เช็กถุงยางหลังใช้เสมอ ว่ามีรอยรั่วหรือไม่ ถ้าถุงยางยังสมบูรณ์ เท่ากับว่าโอกาสท้องน้อยมากจนแทบไม่มีแล้วค่ะ ถ้ายังรู้สึกไม่มั่นใจ สามารถใช้ยาคุมฉุกเฉินได้ภายใน 72 ชม. หลังจากมีเพศสัมพันธฺ (แต่ไม่ควรใช้บ่อย) หรือถ้าอยากมั่นใจมาก ๆ ควรป้องกันสองชั้น ด้วยการกินยาคุมแบบรายเดือน ร่วมกับการใช้ถุงยางไปเลย

 

พร้อมมีลูกแล้ว ควรเริ่มวางแผนการตั้งครรภ์ยังไงดี

หากเริ่มคิดอยากมีลูก ตัดสินใจเลิกคุมกำเนิด และพร้อมสำหรับลูกคนแรกหรือคนต่อไปแล้ว ก็ได้เวลาเตรียมตัววางแผนการตั้งครรภ์แล้วค่ะ มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

ตรวจสุขภาพก่อนตั้งครรภ์ (Preconception Check-up)

  • พบคุณหมอตรวจสุขภาพก่อนตั้งครรภ์ ซึ่งการตรวจจะครอบคลุมสุขภาพทั่วไปและระบบสืบพันธุ์ ฝ่ายชายอาจตรวจคุณภาพอสุจิด้วย
  • ตรวจเลือดหาโรคที่อาจส่งผลต่อการตั้งครรภ์ เช่น คุณพ่อคุณแม่มีใครเป็น/เป็นพาหะธาลัสซีเมียหรือไม่ รวมถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างซิฟิลิสหรือ HIV
  • ฉีดวัคซีนที่จำเป็น (เช่น หัด-หัดเยอรมัน-คางทูม, ไวรัสตับอักเสบ B, ไข้หวัดใหญ่, บาดทะยัก-คอตีบ-ไอกรน)

เริ่มทานโฟลิกเสริม

แนะนำให้คุณแม่ทานกรดโฟลิก (Folic acid) 400-800 ไมโครกรัม/วัน อย่างน้อย 3 เดือนก่อนตั้งครรภ์ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงทารกพิการแต่กำเนิด โดยเฉพาะระบบประสาทและสมอง

ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต

เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงที่บั่นทอนสุขภาพและทำให้มีลูกยาก เช่น เลิกบุหรี่ เลี่ยงแอลกอฮอล์ และสารเสพติดทุกชนิด จำกัดคาเฟอีน ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เป็นต้น

นับวันตกไข่

เพิ่มโอกาสท้องของผู้หญิงด้วยการนับวันตกไข่ ซึ่งจะอยู่ที่ประมาณวันที่ 14 ของรอบเดือนปกติ หากเพศสัมพันธ์ในช่วงไข่สุก จะช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้ หรืออาจใช้ที่ตรวจไข่ตก (Ovulation Test Kit) เพื่อความแม่นยำ 

วางแผนทางการเงินและการใช้ชีวิต

เลี้ยงลูก 1 คนใช้เงินเท่าไหร่ อาจจะต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายของลูกเข้าไปในแผนการเงินของพ่อแม่ ทั้งค่าใช้จ่ายในการฝากครรภ์ ค่าคลอดบุตร ไปจนถึงค่าใช้จ่ายในการเรียน และค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของพ่อแม่ลูก

 

อนาคตที่ดีที่สุดของลูกน้อย เริ่มต้นด้วยโภชนาการผ่านคุณแม่

คุณแม่เป็นวางรากฐานอนาคตของลูกน้อยนับตั้งแต่วันแรกของการตั้งครรภ์ นอกจากคุณแม่จะคอยใส่ใจสุขภาพและกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์แล้ว แม่ตั้งครรภ์ยังต้องการสารอาหารอย่างเพียงพอ เพื่อส่งต่อให้กับลูกน้อย ไม่ว่าจะเป็น

  • ดีเอชเอ (DHA) คือกรดไขมันจำเป็นในตระกูลโอเมก้า 3 เป็นโครงสร้างพื้นฐานของเซลล์สมอง และจอประสาทตา โดย WHO แนะนำให้คุณแม่ตั้งครรภ์กิน DHA คนท้อง ในปริมาณ 200 มิลลิกรัมต่อวัน เพื่อส่งเสริมพัฒนาการของสมองลูก
  • โฟเลต (Folate)  ที่มีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาของระบบประสาทและสมองของลูกน้อย โดยคุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับโฟเลตในปริมาณ 600-800 ไมโครกรัมต่อวัน
  • โคลีน (Choline) ที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาระบบประสาทส่วนกลาง และ Cognitive Function ของทารก โดยปริมาณที่แนะนำคือ 450 มิลลิกรัมต่อวัน
  • แคลเซียม (Calcium) เพื่อการเจริญของระบบกระดูกของทารก โดยปริมาณแคลเซียมคนท้องที่แนะนำคือ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน
  • เหล็ก (Iron) เพื่อการพัฒนาของตัวอ่อนและรก รวมถึงการเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดแดงของคุณแม่ โดยคุณแม่ควรได้รับธาตุเหล็กในระหว่างการตั้งครรภ์ในปริมาณ 15-30 มิลลิกรัมต่อวันเพื่อป้องกันภาวะโลหิตจาง

และยังรวมถึงสารอาหารอื่นๆ อีกมากมายที่คุณแม่อาจจะไม่ได้กินอย่างครบถ้วนจากมื้ออาหารปกติ การดื่มนมบำรุงครรภ์จึงเป็นทางเลือกที่ดีอย่างยิ่งในการเสริมสารอาหารให้กับคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ และอย่าลืมเลือกนมที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำเพื่อลดความเสี่ยงการเกิดภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ด้วยนะคะ

บทความแนะนำสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

 

 

* นมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารก
Enfa Smart Club สนับสนุนให้คุณแม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่าง
เดียวอย่างน้อย 6 เดือนและให้นมแม่ควบคู่อาหารตามวัยอีก 2 ปี หรือนานกว่านั้น ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO)
Enfa Smart Club พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลคุณแม่และลูกน้อย ด้วยการมอบข้อมูลโภชนาการและพัฒนาการลูกน้อยแต่ละวัย ที่เป็นประโยชน์และเชื่อถือได้ ผ่านเว็บไซต์ enfababy.com

คุณกำลังเข้าถึงเนื้อหาจากผู้ให้บริการภายนอกเกี่ยวกับการซื้อหรือ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของบริษัท มี้ด จอห์นสัน นิวทริชัน (ประเทศไทย) จำกัด​

กรุณากดยืนยันเพื่อดำเนินการต่อ

Line TH
Cart TH Join Enfamama