คุณแม่ตั้งครรภ์ได้เตรียมตัวสำหรับการคลอดลูกไว้หรือไม่ ว่าต้องการจะคลอดลูกแบบไหนดี การคลอดลูกธรรมชาติ การผ่าคลอด หรือคลอดลูกในน้ำ มาดูกันว่าการคลอดลูกทั้ง 3 วิธีนี้ คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
1. การคลอดลูกธรรมชาติ (Active Birth)
เมื่อตั้งครรภ์ครบ 40 สัปดาห์ ร่างกายของคุณแม่จะมีสัญญาณเตือนถึงกระบวนการคลอดนั่นคือ มดลูกบีบตัวเป็นจังหวะเบาๆ แล้วค่อยๆ บีบตัวแรงขึ้นและถี่มากขึ้น มีอาการน้ำเดิน ปากมดลูกค่อยๆ เปิดขึ้นจนถึง 10 เซนติเมตร (ทารกค่อยๆ ดันออกมาตามจังหวะการบีบตัวของมดลูก) ทำให้ลูกสามารถดันส่วนนำ (ศีรษะ) ไหล่ แขน ลำตัว และขา ออกมาทางช่องคลอดได้อย่างสำเร็จและปลอดภัย กระบวนการคลอดลูกแบบธรรมชาตินี้ คุณแม่จะได้รับรู้ถึงความเจ็บจากการคลอดตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งสิ้นสุดกระบวนการคลอด
คุณแม่ต้องเตรียมตัวสำหรับการคลอดลูกแบบธรรมชาติอย่างไร?
-
สังเกตสัญญาณเตือนการคลอด เช่น เริ่มมีอาการน้ำเดิน มดลูกบีบรัดตัวเป็นจังหวะเบาๆ สม่ำเสมอ เมื่อมีอาการเหล่านี้ก็ให้ไปโรงพยาบาลได้ทันที (โดยปกติคุณหมอจะนัดให้มาโรงพยาบาลล่วงหน้าหลายชั่วโมงก่อนคลอดเพื่อเตรียมตัว)
-
หลังจากมาถึงโรงพยาบาล และทำประวัติเรียบร้อย คุณแม่จะถูกส่งไปที่ห้องเตรียมคลอด เพื่อตรวจภายในว่าปากช่องคลอดเปิดกี่เซนติเมตรแล้ว หลังจากนั้นจะมีการทำความสะอาดและโกนขนบริเวณหัวหน่าว สวนถ่ายปัสสาวะและอุจจาระก่อนทำการคลอดลูก
-
เมื่อปากมดลูกเปิดถึง 10 เซนติเมตร แพทย์ก็จะช่วยทำคลอดให้จนเสร็จสิ้นกระบวนการคลอดลูกธรรมชาติ
ข้อดีของการคลอดลูกแบบธรรมชาติ
-
คุณแม่จะฟื้นตัวได้เร็วกว่าการผ่าคลอด
-
คุณแม่สามารถให้น้ำนมลูกได้ทันที
-
สามารถลุกเดินได้ทันทีหลังจากพักฟื้นไม่กี่ชั่วโมง
-
อยู่พักฟื้นที่โรงพยาบาลแค่ 1-2 วัน ก็สามารถกลับบ้านได้
-
ค่าใช้จ่ายในการคลอดไม่สูง
ข้อเสียของการคลอดลูกแบบธรรมชาติ
-
ไม่สามารถกำหนดวัน เวลาคลอดลูกที่แน่นอนได้
-
ต้องทนเจ็บท้องนานหลายชั่วโมง เพราะต้องรอให้ปากมดลูกเปิดก่อน
2. การผ่าคลอด (Caesarean Section)
เป็นการผ่าคลอดลูกออกมาทางด้านหน้าท้อง ซึ่งปัจจัยที่คลอดลูกด้วยการผ่าคลอดอาจมีดังนี้ เช่น ต้องการคลอดตามฤกษ์ ร่างกายของแม่ไม่แข็งแรงพอที่จะคลอดเอง ทารกในครรภ์ไม่ได้อยู่ในท่าเอาส่วนนำ (ศีรษะ) มารออยู่ที่อุ้งเชิงกราน เป็นต้น
คุณแม่ต้องเตรียมตัวสำหรับการผ่าคลอดอย่างไร?
-
ไม่ต้องรอให้มีสัญญาณเตือนการคลอด เพราะแพทย์จะนัดวันผ่าคลอด หรือวันที่คุณแม่ต้องการคลอดตามฤกษ์ที่ต้องการ
-
งดอาหาร และน้ำอย่างน้อยประมาณ 6-8 ชั่วโมงก่อนการผ่าคลอดลูก
-
ก่อนการผ่าคลอด พยาบาลจะทำความสะอาดบริเวณหน้าท้อง และสวนถ่ายอุจจาระและปัสสาวะให้คุณแม่
ข้อดีของการผ่าคลอด
-
คุณแม่ไม่ต้องทนเจ็บท้องนานหลายชั่วโมง
-
สามารถเลือกวันคลอดลลูก (ตามฤกษ์คลอดที่ต้องการ)
ข้อเสียของการผ่าคลอด
-
มีภาวะเสี่ยงจากการใช้ยาสลบ หรือการต้องฉีดยาชาเข้าช่องไขสันหลัง เช่น การสำลัก
-
คุณแม่ฟื้นตัวหลังคลอดลูกได้ช้ากว่าการคลอดธรรมชาติ
-
เจ็บแผลผ่าคลอด ทำให้ไม่สามารถลุกเดินได้ในวันแรกหลังจากผ่าคลอดลูก
-
มีแผลผ่าตัดเล็กๆ บริเวณหน้าท้อง
-
หลังคลอดไม่สามารถให้น้ำนมลูกได้ทันที เพราะคุณแม่จะยังมีอาการมึนยาสลบอยู่
-
มีค่าใช้จ่ายในการคลอดลูกสูงกว่าการคลอดธรรมชาติ
3. การคลอดลูกในน้ำ
จะคลอดแบบไหนดี แต่อยากจะคลอดลูกตามธรรมชาติ นั่นคือการคลอดลูกในน้ำโดยเปลี่ยนสถานที่จากเตียงคลอดมาเป็นการคลอดในน้ำแทน ซึ่งการคลอดลูกในน้ำมีข้อจำกัด คือคุณแม่และทารกในครรภ์จะต้องมีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงเท่านั้น หากคุณแม่และทารกในครรภ์ไม่แข็งแรง อาจมีภาวะเสี่ยงที่เป็นอันตรายต่อการคลอด ต่างจากการคลอดลูกที่เตียง เช่น คุณแม่ที่มีภาวะคลอดก่อนกำหนด มีภาวะความดันโลหิตสูง ตั้งครรภ์แฝด หรือทารกอยู่ในท่าที่ไม่เหมาะสม (อยู่ในท่าก้น) เป็นต้น ซึ่งคุณแม่ที่มีภาวะเหล่านี้ แพทย์จะไม่แนะนำให้คลอดในน้ำ
คุณแม่ต้องเตรียมตัวสำหรับ การคลอดลูกในน้ำอย่างไร?
ในกรณีที่คุณแม่เลือกคลอดลูกในน้ำ สิ่งที่ต้องเตรียมพร้อมคือเรื่องของสุขภาพ คุณแม่ต้องแข็งแรง ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ มาตั้งแต่เริ่มต้นตั้งครรภ์ การคลอดลูกแบบธรรมชาติด้วยวิธีนี้ คุณแม่จะทราบวันคลอดจากแพทย์แล้ว เมื่อมาถึงโรงพยาบาลคุณแม่จะได้รับการดูแลเหมือนกับการคลอดลูกปกติ นั่นคือการทำความสะอาดร่างกาย และเตรียมพร้อมลงน้ำ
-
น้ำที่ใช้สำหรับให้คุณแม่ลงไปคลอดจะเป็นน้ำอุ่น (อุณหภูมิประมาณ 37 องศาเซลเซียส) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยในการคลอดได้ดี
-
น้ำอุ่นจะช่วยให้คุณแม่รู้สึกผ่อนคลาย จึงทำให้ร่างกายหลั่งสารเอนโดรฟินออกมา ทำให้คุณแม่ทนความเจ็บปวดได้โดยไม่ต้องใช้ยาช่วย
-
หลังคลอดลูกแล้ว แพทย์จะช่วยในการเย็บปากช่องคลอดให้เรียบร้อยเหมือนการคลอดธรรมชาติ
ข้อดีของการคลอดลูกในน้ำ
- การคลอดลูกแบบธรรมชาติในน้ำจะมีแรงต้านจากน้ำคอยช่วยทำให้การฉีกขาดของช่องคลอดน้อยกว่าการคลอดลูกธรรมชาติในห้องคลอด
- การคลอดลูกในน้ำ จะช่วยลดอาการเจ็บปวดจากการปวดท้องคลอดแบบปกติ
- คุณแม่สามารถขยับตัวเพื่อให้อยู่ในท่าที่สบายที่สุดขณะคลอด
- คุณแม่ฟื้นตัวหลังคลอดได้ดี
ข้อเสียของการคลอดลูกในน้ำ
-
มีค่าใช้จ่ายในการคลอดลูกสูง
-
มีโรงพยาบาลรองรับการคลอดลูกในน้ำเพียงไม่กี่แห่ง
-
ต้องทนเจ็บท้องนานหลายชั่วโมง เพราะต้องรอให้ปากมดลูกเปิดก่อน
สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์มือใหม่อาจจะสงสัยว่า แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าสัญญาณแบบไหนถึงเรียกว่าเจ็บท้องคลอดลูก สามารถดูได้จากอาการต่อไปนี้
การเปลี่ยนแปลง |
เจ็บครรภ์เตือน |
เจ็บครรภ์จริง |
---|---|---|
ช่วงเวลาของการเจ็บครรภ์ |
ไม่สม่ำเสมอ |
เจ็บครรภ์เป็นระยะๆ และเจ็บถี่ขึ้นเรื่อยๆ |
การหายของอาการเจ็บครรภ์ |
อาการเจ็บครรภ์จะหายไปเมื่อคุณแม่ลุกเดิน หรือขยับเปลี่ยนอิริยาบถ |
อาการเจ็บครรภ์ไม่หายไปถึงแม้ว่าจะลุกดิน หรือขยับเปลี่ยนอิริยาบถ |
ตำแหน่งที่รู้สึกเจ็บ |
พบบ่อยที่ช่องท้อง |
เจ็บจากด้านหลังมาด้านหน้า |
ปฏิกริยาของช่องคลอด |
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น |
เริ่มมีของเหลวไหลออกมาทางช่องคลอด |
การคลอดลูกแบบธรรมชาติ การผ่าคลอด หรือการคลอดลูกในน้ำ มีข้อดีและข้อควรระวังที่แตกต่างกันไป คุณแม่จึงควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจว่าจะคลอดลูกด้วยวิธีไหน
บทความแนะนำสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์
- ท้องแข็งขณะตั้งครรภ์ อันตรายมากน้อยแค่ไหน
- นมสำหรับคนท้อง จำเป็นไหม? แม่ท้องควรดื่มนมแบบไหนถึงจะดี
- จุกหลอก ดีหรือไม่ดีต่อเบบี๋กันแน่นะ
- อาการใกล้คลอด สังเกตทัน รับมือได้
- เจาะน้ำคร่ำจำเป็นไหม แล้วใครบ้างที่ควรเจาะน้ำคร่ำ
- บล็อกหลังผ่าคลอดปลอดภัยไหม เสี่ยงอันตรายหรือเปล่า
- ผ่าคลอด 101 คุณแม่ควรรู้อะไรเกี่ยวกับการผ่าคลอดบ้าง
- เข้าใจการคลอดธรรมชาติ ปลอดภัยและไม่น่ากลัวอย่างที่คิด
- คลอดลูกในน้ำ วิธีคลอดแบบใหม่ เจ็บน้อยลง ฟื้นตัวเร็วขึ้น
- แม่ ๆ เช็กให้พร้อม ดูซิ! ของเตรียมคลอดที่จำเป็นมีอะไรบ้าง
- ภูมิแพ้ในเด็ก คุณแม่ควรรับมืออย่างไรเมื่อลูกน้อยเป็นภูมิแพ้