น้ำนมแม่มีสารอาหารหลายชนิดที่ดีมากมาย หนึ่งในนั้น คือ MFGM สารอาหารดีๆ ที่มีอยู่ในนมแม่ ช่วยให้สมองของทารกในช่วง 3 ขวบปีแรก พัฒนาและทำงานได้ดีขึ้น มีพัฒนาการทางด้านร่างกายดีส่งผลต่อความสามารถในการเคลื่อนไหว ทั้งยังมีส่วนช่วยให้พัฒนาการทางด้านสติปัญญาเป็นไปอย่างเต็มศักยภาพ หัวคิดดี มีสมาธิจดจ่อ สื่อสารและใช้ภาษาโต้ตอบได้ดี และยังมีเกราะป้องกันเชื้อโรคที่เข้มแข็ง ไม่ว่าจะเป็นแบคทีเรียหรือไวรัส ช่วยให้ลูกแข็งแรง อารมณ์ดี และปรับตัวได้พร้อมจะเผชิญหน้าโลกใบนี้แล้ว

การให้นมแม่ดีต่อกายและใจของแม่

  • คุณแม่น้ำหนักลดได้เร็ว เพราะการให้นมเป็นการเผาผลาญพลังงานที่สบายที่สุด เทียบเท่าการออกกำลังกาย เพียงแค่นั่งหรือนอนให้นมลูกเท่านั้น ช่วยให้น้ำหนักส่วนเกินหลังคลอดลดลงได้ไว

  • ทำให้ร่างกายของแม่หลั่งฮอร์โมนออกซิโตซิน สารแห่งความสุขไหลวนอยู่ในร่างกาย มีความสุขและยังทำให้น้ำนมไหลดีอย่างต่อเนื่อง

  • ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ และโรคกระดูกพรุน

  • ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคซึมเศร้าหลังคลอด

การให้นมแม่ดีต่อพัฒนาการ พฤติกรรม และอารมณ์ของลูก

  • เป็นอาหารสมองชั้นเลิศ เพราะลูกจะได้รับ MFGM (Milk Fat Globule Membrane) คือ เยื่อหุ้มอนุภาคไขมันในนมแม่ ช่วยในการพัฒนาโครงสร้างและการทำงานของสมองซึ่งเป็นพื้นฐานของพัฒนาการด้านอื่น และยังส่งผลดีต่อระบบการทำงานของภูมิคุ้มกันในร่างกายผ่านระบบการปกป้องในทางเดินอาหาร ทำให้ลดความเสี่ยงของลูกจากการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้

  • ช่วยสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างคุณแม่กับลูก ผู้เชี่ยวชาญหลายคนให้ความเห็นว่า ยิ่งคุณแม่ใช้เวลากับลูก ยิ่งเสริมสร้างสายสัมพันธ์ให้ลูกผูกพันกับคุณแม่ ต่างฝ่ายจะเรียนรู้ซึ่งกันและกัน คุณแม่จะรู้จักนิสัยและพฤติกรรมของลูก ลูกก็จะรู้สึกปลอดภัยและมีความสุขเมื่อได้อยู่ใกล้แม่

  • ช่วยปลอบประโลมให้ลูกอารมณ์ดีขึ้น คลายความเจ็บจากอาการต่างๆ และช่วยให้ลูกหลับง่ายขึ้น

  • ระหว่างที่ลูกดูดนมแม่ กระบวนการเรียนรู้เรื่องของการอดทนรอคอยและยับยั้งชั่งใจจะพัฒนาขึ้นได้พร้อมกันไปด้วย เพราะลูกจะต้องรู้จักการรอน้ำนมจากการดูดของตัวเอง

  • ช่วยพัฒนาความสามารถในการรับกลิ่น การมองเห็น และการรับ สัมผัสบริเวณผิวของลูก

สมัครเป็นสมาชิก Enfa Smart Club กับชมวันนี้ ลุ้นรับ MacBook Air

3 สารอาหารสำคัญที่พบในนมแม่

อย่างที่เราทราบกันว่านมแม่อุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญที่ดีต่อร่างกาย สมอง ภูมิคุมกัน และการขับถ่าย รวมทั้ง 3 สารอาหารที่สำคัญเหล่านี้

  • MFGM

    คือ เยื่อหุ้มอนุภาคไขมัน อุดมไปด้วยไขมัน และโปรตีนรวมกว่า 150 ชนิด ใน MFGM ประกอบไปด้วย ฟอสโฟลิปิด สฟิงโกไมอิลิน และแกงกลิโอไซด์ ซึ่งมีส่วนช่วยในการพัฒนาสมองและการเรียนรู้ของลูก

  • DHA

    คือ กรดไขมันในตระกูลโอเมก้า 3 ที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย เป็นโครงสร้างพื้นฐานของเซลล์สมองและจอประสาทตา

  • Prebiotic

    คือ ใยอาหารที่ร่างกายไม่สามารถย่อยได้ เป็นอาหารของจุลินทรีย์ชนิดดีในลำไส้ช่วยทำให้มีจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้เพิ่มขึ้น ช่วยเรื่องระบบขับถ่าย ลดโอกาสติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจและทางเดินอาหาร

MFGM ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย

MFGM ช่วยลดโอกาสติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร ผ่านการเพิ่มจำนวนจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยจุลินทรีย์เหล่านี้ มีบทบาทช่วยลดโอกาสการติดเชื้อจากเชื้อก่อโรคผ่านหลายกระบวนการ เช่น สร้างภูมิคุ้มกันบริเวณผนังลำไส้และกระตุ้นภูมิคุ้มกันภายในร่างกาย ลดการเกาะตัวของจุลินทรีย์ก่อโรค หรือแม้แต่ช่วยทำลายเชื้อก่อโรค การที่เด็กไม่เจ็บป่วยบ่อยก็จะส่งเสริมให้เขาสามารถพัฒนาตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง หากร่วมกับการส่งเสริมที่ดี ก็จะทำให้เขามีการเจริญเติบโตที่ดี สมองดี และยังส่งผลต่อการแสดงออกทางด้านพฤติกรรม อารมณ์ และการปรับตัวเข้ากับสังคมที่ดีตามมา

MFGM และ DHA ช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญาและอารมณ์

รศ.นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม ได้อธิบายถึงประโยชน์ของ MFGM ที่มีในนมแม่ว่ามีความสำคัญต่อการพัฒนาสมองของลูก โดยมีงานวิจัยทางการแพทย์สนับสนุนผลต่อพัฒนาการทางด้านสติปัญญาว่า MFGM และ DHA ที่พบในนมแม่ ส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการด้านสติปัญญาที่ดี

นั่นเป็นเพราะ MFGM ส่งผลต่อพัฒนาการทั้งด้านโครงสร้างและการทำงานของสมอง ซึ่งรวมถึงการเชื่อมต่อเซลล์สมองให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อสมองทำงานได้ดี สมาธิจดจ่อก็จะดีตามมา การประมวลข้อมูลที่ได้รับก็จะเป็นไปด้วยดี ซึ่งเป็นพื้นฐานสู่การพัฒนาที่ดีในแง่ของการเรียนรู้ ความสามารถในการคิด วิเคราะห์ วางแผน และแก้ปัญหา รวมถึงพฤติกรรมของเด็กในอนาคต เมื่อเด็กมีทักษะพื้นฐานที่จำเป็นและทักษะชีวิตที่มั่นคง ก็จะทำให้เป็นเด็กที่หัวคิดดี มีหัวใจที่นึกถึงผู้อื่น และมีความสามารถในการปรับตัวตามสภาพแวดล้อมได้ดี

ที่สำคัญคุณพ่อคุณแม่ต้องสนับสนุนอย่างเหมาะสมทั้งทางโภชนาการและการเลี้ยงดู ให้ลูกได้เล่นและเรียนรู้ผ่านกิจวัตรประจำวัน รวมทั้งเป็นแบบอย่างที่ดี ทั้งการกระทำและคำพูด ก็จะช่วยพัฒนาให้เด็กมีความคิด สามารถพึ่งพาตัวเองได้ และเอาตัวรอดในสังคมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้ในอนาคต