Enfa สรุปให้
เลือกอ่านตามหัวข้อ
อาการแพ้ท้อง เป็นกลุ่มสัญญาณแรกสุดของการตั้งครรภ์ที่คุณแม่ตั้งท้องหลายคนจะต้องพบเจอ แต่เคยสงสัยกันบ้างหรือไม่ว่า ทำไมคนท้องถึงจะต้องแพ้ท้อง แล้วถ้าไม่มีอาการแพ้ท้องเลยล่ะ ผิดปกติไหม หรือถ้าแพ้ท้องหนักมากจะเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์หรือเปล่า บทความนี้จาก Enfa มีสาระน่ารู้เกี่ยวกับอาการแพ้ท้อง พร้อมวิธีรับมือเมื่อคุณแม่มีอาการแพ้ท้องหนักมากมาฝากค่ะ
อาการแพ้ท้อง คือ กลุ่มอาการคลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งเป็นหนึ่งในอาการคนท้องระยะแรกที่เป็นสัญญาณเตือนให้คุณแม่รู้ว่ากำลังตั้งท้อง โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะมีอาการช่วงเริ่มต้นตั้งครรภ์ และอาการจะเริ่มรุนแรงขึ้นเมื่อเข้าช่วงสัปดาห์ที่ 12-14 ของการตั้งครรภ์
โดยประมาณ 50% ของผู้หญิงตั้งครรภ์จะมีอาการคลื่นไส้และอาเจียน อีก 25% มีเพียงอาการคลื่นไส้ และอีก 25% ไม่พบอาการผิดปกติอะไรเลย ความรุนแรงของอาการคลื่นไส้อาเจียนนั้นหลากหลายมากคนท้องแต่ละคนจึงมีอาการแพ้ท้องหนักเบาไม่เท่ากัน แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะไม่รุนแรงถึงขั้นต้องรับการรักษาเฉพาะทาง
อย่างไรก็ตาม มีคุณแม่ราว 1-2% ต้องพบกับอาการแพ้ท้องอย่างรุนแรง หรือที่เรียกทางการแพทย์ว่า Hyperemesis Gravidarum (HG) ซึ่งทำให้เกิดการอาเจียนบ่อยครั้ง และส่งผลให้ผู้ป่วยเสียปริมาณของเหลวและเกลือแร่ในร่างกายไปจำนวนมาก ซึ่งอาการเช่นนี้จำเป็นต้องรีบเข้าพบแพทย์เพื่อรับการรักษาเฉพาะทาง
แพ้ท้องเกิดจากอะไร? อะไรเป็นสาเหตุที่แท้จริงของการแพ้ท้อง? ยังไม่มีใครทราบได้ค่ะ แต่มีการค้นพบตัวแปรสำคัญที่มีส่วนกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ท้องไว้มากมาย เช่น ปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนที่สูงขึ้น ระดับฮอร์โมนโกนาโดโทรปิน ที่สูงขึ้น (hCG) การขาดสารอาหารบางชนิด (เช่นการขาดวิตามิน B6 จากการกินอาหาร) หรือปัญหาที่เกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร
อย่างไรก็ตาม สาเหตุสำคัญที่สุดที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ท้องก็คือ ฮอร์โมน hCG (Human Chorionic Gonadotropin) มีส่วนกระตุ้นให้เกิดอาการคลื่นไส้และอาเจียนในหญิงตั้งครรภ์ระยะแรก โดยคุณแม่ที่มีระดับฮอร์โมน hCG สูงก็จะยิ่งมีอาการแพ้ท้องรุนแรงมากขึ้น
ฮอร์โมน hCG คือ ฮอร์โมนที่จะตรวจพบในเลือดและปัสสาวะเมื่อมีการตั้งครรภ์ โดยจะถูกสร้างขึ้นมาจากเซลล์ในไข่ที่ถูกผสมและจะกลายเป็นรกต่อไป หรือพูดง่าย ๆ ว่าเป็นฮอร์โมนเกิดจากรกนั่นเอง มีหน้าที่กระตุ้นให้รังไข่สร้างฮอร์โมนอื่น ๆ
ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ ฮอร์โมนตัวสำคัญที่จะต้องสร้างก็คือ “เอสโตรเจน” กับ “โปรเจสเตอโรน” ช่วงแรกที่ไข่เริ่มมีการผสม รกยังไม่เจริญเต็มที่ จึงต้องมีฮอร์โมน hCG เพื่อไปกระตุ้นให้รังไข่สร้างฮอร์โมนตัวอื่น ๆ
แต่เมื่อรกเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว รกก็จะทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนตัวอื่นแทนรังไข่ ฮอร์โมน hCG ที่ถูกสร้างมาเพื่อกระตุ้นรังไข่ก็จะลดน้อยลงไป เมื่ออายุครรภ์มากขึ้น รกเจริญเต็มที่แล้ว ถ้าทำการตรวจปัสสาวะเพื่อทดสอบการตั้งครรภ์ก็อาจให้ผลลบได้ เนื่องจากฮอร์โมน hCG มีระดับต่ำลงนั่นเอง และอาการแพ้ท้องก็จะค่อย ๆ ลดลง
ฮอร์โมน hCG มีผลทำให้คุณแม่เกิดอาการแพ้ท้อง คลื่นไส้อาเจียนในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ หากคุณแม่ที่มีอาการแพ้ท้องมาก ๆ เพราะมีฮอร์โมน hCG สูง ก็อาจต้องตรวจเพิ่มเติมว่ามีภาวะผิดปกติ เช่น ตั้งครรภ์แฝด หรือรกเจริญผิดปกติหรือไม่
แพ้ท้องอาการเป็นยังไง? สำหรับอาการแพ้ท้องขณะตั้งครรภ์ สามารถพบกลุ่มอาการที่แตกต่างกันไปหลายรูปแบบ ดังนี้
อาการแพ้ท้อง มักจะเริ่มขึ้นเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 6 สัปดาห์ขึ้นไป หรือเรียกง่าย ๆ ว่า ท้องได้ 2 เดือนแล้วจึงเริ่มมีอาการแพ้ท้องเกิดขึ้น
ซึ่งช่วงเวลานี้คุณแม่จะเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกาย สามารถสังเกตเห็นสัญญาณและอาการคนท้องระยะแรกเกิดขึ้นค่ะ
แพ้ท้องสัปดาห์แรก เป็นไปได้ไหม ตั้งท้อง 1 สัปดาห์ แล้วมีอาการแพ้ท้องได้หรือเปล่า อาจเป็นไปได้ค่ะ แต่ก็เบาบางมาก และไม่ปรากฎออกมาอย่างชัดเจนเท่าไหร่นัก
แต่โดยมากแล้วคุณแม่มักจะไม่มีหรือไม่รู้สึกถึงอาการแพ้ท้องช่วงอายุครรภ์ 1 สัปดาห์ค่ะ เพราะอาการแพ้ท้องมักจะเริ่มปรากฎขึ้นเมื่ออายุครรภ์ 6 สัปดาห์ขึ้นไป
อย่างไรก็ตาม อาการแพ้ท้องสัปดาห์แรกที่อาจพบได้ เช่น
คุณแม่มือใหม่หลายคนอาจสงสัยกันว่า ถ้าเริ่มแพ้ท้อง แล้วจะหายแพ้ท้องตอนไหน เราอาจต้องมาจำแนกคำตอบออกตามสภาพความจริงของแม่ตั้งครรภ์ ดังนี้
โดยทั่วไปแล้วอาการแพ้ท้องจะเริ่มขึ้นเมื่ออายุครรภ์ตั้งแต่ 6 สัปดาห์ขึ้นไป และอาการแพ้ท้องจะรุนแรงขึ้นในช่วงอายุครรภ์ที่ 8-12 สัปดาห์ และอาการแพ้ท้องจะค่อย ๆ ทุเลาลงหรือหายไปเองในช่วงอายุครรภ์ 14 สัปดาห์ขึ้นไป
อาการแพ้ท้อง อาจไม่มีระยะเวลาหายแพ้ท้องที่ตายตัว เนื่องจากพื้นฐานสุขภาพของแม่แต่ละคนต่างกัน จึงพบว่า
หากคุณแม่มีอาการแพ้ท้องพะอืดพะอมตลอดเวลา มีอาการพะอืดพะอม จนอยากจะอาเจียนแทบจะทั้งวัน คุณแม่ควรเริ่มปรับจากอาหารการกิน ดังนี้
แพ้ท้อง กินอะไรก็อ้วก แพ้ท้องหนักมาก กินอะไรไม่ได้เลย หากคุณแม่ไม่ไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาและบรรเทาอากการอย่างเหมาะสม แน่นอนว่ามีโอกาสเสี่ยงทำให้ทารกในครรภ์ได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอ
ดังนั้น หากอาการแพ้ท้องเริ่มรบกวนชีวิตประจำวันของคุณแม่ เช่น แพ้ท้องจนนอนไม่หลับ แพ้ท้องจนกินอะไรไม่ได้ ควรไปพบแพทย์ทันที เพื่อรับคำแนะนำในการดูแลตนเอง หรือในบางกรณีแพทย์อาจวินิจฉัยให้กินยาเพื่อบรรเทาอาการแพ้ท้องรุนแรงค่ะ
คุณแม่สามารถรับมือกับอาการแพ้ท้องได้ด้วยวิธีง่าย ๆ ดังนี้
เมื่อรู้ตัวว่ามีอาการแพ้ท้อง ควรดื่มน้ำมาก ๆ แต่อย่าดื่มร่วมกับอาหารหรือหลังอาหารทันทีให้ดื่มน้ำก่อนหรือหลังอาหารสัก 30 นาที และระหว่างวันให้จิบน้ำบ่อย ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงอาการขาดน้ำฝานขิงอ่อนเป็นแผ่นบาง ๆ แช่ในน้ำร้อน แล้วค่อย ๆ จิบ จะช่วยให้อาการแพ้ท้องคลื่นไส้ อาเจียน ดีขึ้น
เมื่อมีอาการแพ้ท้อง ควรหลีกหนีให้ไกลจากกลิ่นที่ทำให้ท้องของคุณแม่ปั่นป่วน หากจำเป็นต้องปรุงอาหาร ให้เปิดหน้าต่างหรือเปิดพัดลมดูดกลิ่น และแม้จะไม่รู้สึกหิว คุณแม่ก็ควรพยายามบังคับตัวเองให้กิน เพราะการที่ท้องว่างจะทำให้อยากอาเจียนได้ง่ายกว่าเมื่อมีอาหารอยู่ในท้อง
อย่างไรก็ตาม คุณแม่อาจกินอาหารในแต่ละมื้อได้ไม่มาก ให้แบ่งอาหารเป็นมื้อย่อย ๆ แต่กินหลาย ๆ มื้อแทน อาจจะแบ่งมื้ออาหารเป็น 5-6 มื้อต่อวันเลยก็ได้ จะช่วยให้ได้รับอาหารเพียงพอต่อความต้องการ
การกินอาหารที่มีโปรตีนสูงบางชนิดไม่เหมาะเป็นอาหารคนท้อง อาจทำให้อาการแพ้ท้องหนักขึ้น เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู อาจลองกินเนื้อปลา ไข่ต้มสุกแทน ก็จะช่วยให้ดีขึ้นได้
คุณแม่ที่มีอาการแพ้ท้องควรหลีกเลี่ยงอาหารมันและรสเผ็ด หรืออาหารรสจัด มีเครื่องเทศมาก เนื่องจากทำให้เกิดอาการจุกเสียดแน่นหน้าอกได้ง่าย หมั่นดูแลรักษาสุขภาพของตัวเองให้ดี อย่าปล่อยให้ท้องว่างนานเกินไป
หากรู้สึกหิวควรหาอาหารหรือของว่างกิน คุณแม่จึงควรมีขนมของขบเคี้ยวที่มีโปรตีนสูงไว้ใกล้มือ เพื่อหยิบกินได้ง่าย เช่น ขนมจำพวกถั่ว เครื่องดื่ม หรือขนมที่ทำจากถั่วเหลือง เพราะดีต่อผู้หญิงที่มีอาการแพ้ท้อง
อาการแพ้ท้องจะทุเลาได้ หากคุณแม่กินขนมปังจืดหรือขนมปังกรอบธัญพืชสัก 1-2 ชิ้นก่อนเข้านอนตอนกลางคืน เพื่อไม่ให้ท้องว่างนานเกินไป หรือกินอาหารเบา ๆ เช่น แครกเกอร์หรือเครื่องดื่มอุ่น ๆ ก่อนนอน จะทำให้หลับสบาย
ควรเตรียมเครื่องดื่มหรือแครกเกอร์ไว้ใกล้ ๆ เตียง เพื่อตอนเช้าตื่นขึ้นมา จะได้ดื่มเครื่องดื่มที่เตรียมไว้หรือกินแครกเกอร์เมื่อตื่นนอนขึ้นทันทีก่อนลุกจากเตียงไปทำกิจวัตรประจำวัน เพราะจะช่วยไม่ให้วิงเวียนจากอาการท้องว่าง และลดการเกิดอาการแพ้ท้อง
อาการแพ้ท้องหนักมาก มักจะเกิดขึ้นเพราะร่างกายมีระดับของฮอร์โมนสูงขึ้นกว่าปกติ เช่น ฮอร์โมน hCG ซึ่งเป็นฮอร์โมนการตั้งครรภ์ และฮอร์โมนเอสโตรเจน การเปลี่ยนแปลงระดับของฮอร์โมนเหล่านี้จึงมักส่งผลให้รู้สึกคลื่นไส้และอาเจียนมากผิดปกติ และบางครั้งอาจรุนแรงมากจนกินอะไรไม่ได้เลย
กรณีแบบนี้ควรไปพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำในการบรรเทาอาการแพ้ท้องรุนแรงค่ะ เพราะถ้าคุณแม่แพ้ท้องหนักมากจนกินอาหารได้น้อยลง นอกจากจะส่งผลเสียต่อสุขภาพของตัวคุณแม่เองแล้ว อาจทำให้ทารกในครรภ์ได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตตามวัยค่ะ
อย่างไรก็ตาม นอกจากอาการแพ้ท้องหนักมาก จนกินอะไรไม่ได้แล้ว หากคุณแม่มีอาการแพ้ท้องดังต่อไปนี้ ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสมด้วยเช่นกัน
ช่วงที่คุณแม่มีอาการแพ้ท้อง อาจทำให้กินอาหารได้น้อยลง แต่คุณแม่ก็จะต้องพยายามกินอาหารให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อดูแลให้สุขภาพของคุณแม่แข็งแรง และเพื่อให้ทารกน้อยในครรภ์ได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อการเจริญเติบโต
โดยควรเลือกโภชนาการที่หลากหลาย ครบทั้ง 5 หมู่ แต่ถ้าคุณแม่กินอะไรไม่ได้เลย กินนิด ๆ หน่อย ๆ ก็อาเจียน สามารถเสริมโภชนาการได้ด้วยนมบำรุงครรภ์สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์และให้นมบุตร เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ ไม่ว่าจะเป็น ดีเอชเอ โฟเลต โคลีน และแคลเซียม ช่วยลดความเสี่ยงของการขาดสารอาหารได้ค่ะ
อาการแพ้ท้องตอนกลางคืน ไม่ถือว่าผิดปกติค่ะ แม้ว่าส่วนมากคุณแม่จะมีอาการแพ้ท้องรุนแรงในตอนเช้าเป็นส่วนมาก แต่โดยทั่วไปแล้วอาการแพ้ท้องสามารถเกิดขึ้นในช่วงเวลาใดก็ได้ คุณแม่หลายคนก็มีอาการแพ้ท้องตอนกลางคืนได้เช่นกันค่ะ
อาการแพ้ท้องไม่ได้จำกัดเวลาที่เกิดขึ้นนะคะ ผู้หญิงตั้งครรภ์สามารถแพ้ท้องได้ทั้งวัน หรืออาจจะแพ้ท้องแค่ช่วงเช้า หรือแพ้ท้องแค่ช่วงเย็นก็สามารถเป็นไปได้ทั้งนั้น โดยไม่ถือว่ามีความผิดปกติแต่อย่างใด
เว้นเสียแต่ว่าอาการแพ้ท้องตอนเย็นจนทำให้นอนไม่หลับ หรือหลับไม่สนิท กรณีนี้จะทำให้แม่พักผ่อนได้น้อย ไม่ดีต่อสุขภาพ ควรไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาถึงวิธีรับมือกับอาการแพ้ท้องตอนเย็น
คุณแม่ที่แพ้ท้อง อาจลองเลือกผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวเป็นอาหารแพ้แพ้ท้องได้ เช่น ส้ม มะนาว มะเฟือง ตะลิงปลิง มะยม มะม่วง มะดัน เนื่องจากผลไม้ที่มีความเป็นกรดสูงเหล่านี้มีส่วนช่วยปรับรสชาติภายในปาก กระตุ้นน้ำลาย ทำให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า จึงมีส่วนช่วยให้คุณแม่รู้สึกดีขึ้นได้
ลูกอมแก้แพ้ท้อง เลือกได้หลายแบบค่ะ อาจเลือกเป็นลูกอมรสมินต์ รสมะนาว รสน้ำผึ้งผสมมะนาว รสเสาวรส รสเบอร์รี สามารถช่วยปรับรสชาติในปาก กระตุ้นน้ำลาย และทำให้รู้สึกสดชื่น ช่วยบรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะหรือคลื่นไส้ อาเจียนได้ค่ะ
ท้อง 7 สัปดาห์ไม่แพ้ท้อง ถือว่าเป็นเรื่องปกติค่ะ ไม่ต้องกังวล คุณแม่อาจจะมีอาการแพ้ท้องเกิดขึ้นในสัปดาห์ถัดไป หรืออีกหลายสัปดาห์ข้างหน้าก็ได้ เพราะอาการแพ้ท้องจะเริ่มเด่นชัดขึ้นเมื่ออายุครรภ์ 6 สัปดาห์ขึ้นไป
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าคุณแม่ทุกคนจะมีอาการแพ้ท้องพร้อมกันทุกคนนะคะ เพราะพื้นฐานสุขภาพของคุณแม่แต่ละคนแตกต่างกัน ความผันผวนของฮอร์โมนในร่างกายก็ไม่เหมือนกัน ระดับของอาการแพ้ท้องของคุณแม่จึงไม่เท่ากันค่ะ
อาการแพ้ท้องหายไปตอนตั้งท้อง 8 สัปดาห์ ไม่ถือเป็นเรื่องผิดปกติค่ะ อาจเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำที่อาการแพ้ท้องของคุณแม่หายไปได้เร็ว เพราะอาการแพ้ท้องมักจะรบกวนการกินและการนอน ทำให้ใช้ชีวิตประจำวันลำบาก การไม่แพ้ท้องเลย หรือแพ้ท้องแค่นิดหน่อย ถือเป็นความโชคดีอย่างหนึ่งค่ะ
อย่างไรก็ตาม หากคุณแม่กังวลว่าอาจเป็นสัญญาณผิดปกติ สามารถไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยร่างกายได้ว่าทุกอย่างยังปกติไหม ตัวอ่อนมีการเจริญเติบโตตามเกณฑ์หรือไม่
ไม่ต้องกังวลค่ะ หากคุณแม่เลิกแพ้ท้องตอนท้อง 9 สัปดาห์ ถือว่าโชคดีมากที่ไม่ต้องรับมือกับอาการแพ้ท้องรุนแรงไปนานกว่านี้ คุณแม่จะได้บำรุงครรภ์และใช้ชีวิตประจำวันได้แบบไร้อุปสรรค
อย่างไรก็ตาม หากคุณแม่กังวลว่าจะเป็นสัญญาณของความผิดปกติ สามารถไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยร่างกายและติดตามพัฒนาการของตัวอ่อนในครรภ์ว่ายังเป็นปกติหรือไม่
อาการแพ้ท้อง ส่งผลให้การกินหรือดื่มอะไรก็ลำบากไปหมด บางครั้งแค่ดื่มน้ำเปล่าก็ทำให้รู้สึกอยากจะอาเจียนขึ้นมาได้ ทั้งยังไวต่อรสชาติและกลิ่นกว่าปกติ ทำให้ต้องหาอะไรมากินแก้แพ้ท้อง
ซึ่งอาหารที่มีรสเปรี้ยวก็มักจะตอบโจทย์ในข้อนี้ เพราะอาหารหรือผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวนั้นมีความเป็นกรดสูง เมื่อกินเข้าไปแล้วจะไปกระตุ้นการทำงานของต่อมน้ำลาย ช่วยปรับรสชาติภายในปาก ทำให้เจริญอาหารมากขึ้นได้ค่ะ
อาการมวนท้อง ท้องอืดขณะตั้งครรภ์ สามารถพบได้โดยทั้งก่อน ระหว่าง หรือหลังตั้งครรภ์ แต่ช่วงที่ตั้งครรภ์นั้นจะพบกับอาการนี้บ่อยเป็นพิเศษเนื่องจากเป็นช่วงที่ระดับฮอร์โมนในร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงบ่อย
โดยเฉพาะฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เมื่อเพิ่มระดับมากขึ้นก็จะไปกระตุ้นให้เกิดการคลายกล้ามเนื้อในร่างกายมากขึ้น ซึ่งรวมถึงกล้ามเนื้อในลำไส้ด้วย และเมื่อกล้ามเนื้อในลำไส้คลายตัวก็จะทำให้กระบวนการย่อยอาหารทำได้ช้าลง ส่งผลให้เกิดแก๊สมากขึ้นในลำไส้ ทำให้รู้สึกท้องอืดขึ้นมาบ่อย ๆ นั่นเอง
แต่โดยมากแล้วอาการท้องอืดขณะตั้งครรภ์นั้นไม่ถือว่าเป็นอันตรายค่ะ
ขณะตั้งท้องคุณแม่จำเป็นที่จะต้องกินอาหารให้หลากหลายและมีประโยชน์ต่อร่างกาย เพื่อให้ตัวเองแข็งแรง และลูกน้อยได้รับสารอาหารที่ช่วยในการเจริญเติบโต
อย่างไรก็ตาม อาการแพ้ท้องมักทำให้กินอะไรไม่ค่อยได้ กินเข้าไปนิด ๆ หน่อย ๆ ก็อาเจียนออกมา ซึ่งอาการเหล่านี้มักพบได้มากในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ และจะค่อย ๆ ดีขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วงไตรมาสที่ 2
ซึ่งโดยมากแล้วอาการแพ้ท้องจนกินอะไรไม่ค่อยได้นั้นไม่ถือว่าอันตรายอะไร แต่คุณแม่จำเป็นจะต้องปรับพฤติกรรมการกิน และพยายามกินอาหารให้ได้มากที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะขาดสารอาหาร หรือเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำ
โดยมากแล้วอาการแพ้ท้องไม่จำเป็นต้องกินยาแก้แพ้ท้อง เพียงแค่ปรับพฤติกรรมการกินและพฤติกรรมการใช้ชีวิต ก็สามารถช่วยให้อาการดีขึ้นได้
แต่ในกรณีที่พยายามปรับรูปแบบการใช้ชีวิตแล้วแต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้น แพทย์ก็อาจสั่งจ่ายยาบางชนิดที่อาจช่วยให้รู้สึกดีขึ้น ได้แก่ วิตามินบี 6 และยาดอกซีลามีน (Doxylamine) ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อแม่และทารกในครรภ์
อย่างไรก็ตาม ควรให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้สั่งจ่ายยา และไม่ควรซื้อยามากินเอง
คุณแม่อาจสงสัยว่า คนท้องกินกาแฟได้ไหม เพราะบางครั้งคุณแม่ก็ง่วงนอนแทบจะทั้งวัน คำตอบคือ คนท้องสามารถดื่มกาแฟได้ค่ะ
แต่...ควรดื่มในปริมาณน้อย คือไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน เพราะหากดื่มมากเกินไป คาเฟอีนที่อยู่ในกาแฟอาจจะส่งผลกระทบต่อการนอนหลับ หรือทำให้รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน หนักกว่าเดิม
ขณะตั้งครรภ์ร่างกายของคุณแม่จะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนต่าง ๆ ซึ่งการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของฮอร์โมนในร่างกายนี้จะส่งผลให้คนท้องรู้สึกไวต่อรสชาติและกลิ่นต่าง ๆ กลิ่นที่เคยชอบหรือรู้สึกเฉย ๆ ก็อาจกลายเป็นรู้สึกเหม็นจนเกินจะทนไหว ซึ่งนั่นก็อาจจะรวมถึงกลิ่นตัวของสามีด้วย ซึ่งกลิ่นสามีนี้อาจหมายถึงกลิ่นตัว หรือกลิ่นโรลออน หรือกลิ่นน้ำหอมของสามีก็ได้
บทความแนะนำสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์
ทารกกลืนน้ำคร่ำอันตรายไหม ทารกในครรภ์กินน้ำคร่ำเป็นปกติหรือเปล่า ทารกถ่ายขี้เทาในครรภ์ เกิดจากอะไ...
อ่านต่อEnfa สรุปให้ การตัดสินใจเลือกฝากครรภ์ที่ไหนดี ควรเปรียบเทียบข้อมูลทั้งคลินิก โรงพยาบาลรัฐบาล แล...
อ่านต่อEnfa สรุปให้ ข้อห้ามคนท้อง ไม่ใช่การห้ามเด็ดขาดแต่เป็นข้อควรระวังเพื่อความปลอดภัย โดยเน้นการหลี...
อ่านต่อ