หากคุณแม่ต้องการให้ลูกในท้องมีพัฒนาการที่ดี ทั้งพัฒนาการทางร่างกายและสมอง รศ.ดร.นพ. ดิฐกานต์ บริบูรณ์หิรัญสาร ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล แนะนำว่าไม่ควรมองข้ามการทำ 5 สิ่งเหล่านี้

1. แม่ออกกำลังกาย ช่วยลูกสมองดี

หากคุณแม่ไม่ได้มีภาวะแท้งคุกคามหรือคุณหมอไม่ได้สั่งให้งดออกกำลังกาย การออกกำลังกายแบบแอโรบิกเบาๆ เช่น การเดินเร็ว ขยับร่างกายบ่อยๆ ว่ายน้ำ หรือโยคะ ทำให้เป็นประจำในช่วงตั้งครรภ์ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของสมองของลูกในท้องได้เป็นอย่างดี

2. แม่กินดี ลูกแข็งแรง และเรียนรู้ได้เร็ว

กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และอาจเสริมด้วยอาหารที่มี DHA และ โคลีน ช่วยพัฒนาทักษะการเรียนรู้และความจำของลูกในครรภ์ ช่วยส่งเสริมพัฒนาการการเรียนรู้ให้ดียิ่งขึ้น

3. พูดคุยกับลูกในท้องบ่อยๆ

การพูดคุย ร้องเพลง ลูบท้อง เปิดเพลงให้ฟัง เล่านิทาน เป็นการเริ่มสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างคุณแม่กับลูกได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้พัฒนาการด้านการสื่อสาร สามารถเริ่มเรียนรู้ได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เมื่อลูกคลอดออกมาจะสามารถการเรียนรู้ด้านภาษาได้เร็วขึ้นตามไปด้วย

4. ห่างให้ไกลจากควันบุหรี่ และแอลกอฮอล์

เพราะสารเคมีในบุหรี่อาจทำให้พัฒนาการในครรภ์ช้า ระบบทางเดินหายใจมีปัญหา สติปัญญาต่ำ หรือเกิดภาวะตายคลอดได้ ส่วนแอลกอฮอล์ส่งผลกระทบต่อทุกด้าน ตั้งแต่ร่างกาย สมอง การเรียนรู้ และพฤติกรรม และเสี่ยงที่จะเกิดการแท้งหรือพิการแต่กำเนิดได้

5. นอนให้พอ

กว่า 80% ของคุณแม่ที่ตั้งครรภ์มีปัญหานอนไม่เพียงพอจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นอาการแพ้ท้อง ต้องลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำบ่อย เป็นกรดไหลย้อน เป็นตะคริว ท่านอนไม่สบาย หรือแม้กระทั่งความเครียด แต่รู้ไหมว่าการนอนไม่พอส่งผลต่อภูมิคุ้มกันร่างกายและอารมณ์ของคุณแม่โดยตรง และอาจกลายเป็นภาวะแทรกซ้อนตอนคลอดได้ การนอนให้พอจึงดีต่อคุณแม่และต่อสุขภาพของลูกด้วยเช่นกัน

สมัครเป็นสมาชิก Enfa Smart Club กับชมวันนี้ ลุ้นรับ MacBook Air

Did mom know?

เจ้าตัวเล็กในท้องจะได้ยินเสียงโทนทุ้มต่ำๆ เป็นเสียงแรกที่ได้ยิน ดังนั้นลองสลับเสียงเล็กๆ แหลมๆ ของคุณแม่ ให้คุณพ่อได้เล่านิทานให้ลูกฟัง ก็จะช่วยสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างพ่อ-ลูก เพื่อให้ลูกรู้ว่ายังมีคนอื่นนอกจากแม่ ค่อยๆ ซึมซับเรื่องสังคม และอารมณ์ผ่านเสียงที่หลากหลายได้เช่นกัน

สารอาหารบำรุงครรภ์ เพื่อลูกพัฒนาการดี สติปัญญาเด่น

  • DHA จากเนื้อปลาไขมันสูง อย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์

    มีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยในประเทศฟินแลนด์พบว่า การกินปลาไขมันสูง ที่มี long chain polyunsaturated fatty acids หรือ LC-PUFA หมายถึงปลาที่มีทั้งโอเมก้า 3 และ 6 อย่างปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาทู ปลาซ่อน อย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายจะช่วยพัฒนาสมองของทารกในครรภ์ช่วงขวบปีแรกได้ดี โดยช่วยในการสร้างเซลล์ประสาทด้านการมองเห็น และสารสื่อประสาทของลูก

  • โฟเลต (folate) หรือ โฟลิก (Folic Acid) วันละ 360-400 ไมโครกรัม

    เป็นกลุ่มวิตามินบี 9 ที่มีความสำคัญต่อการสร้างและการแบ่งเซลล์เพื่อให้ตัวอ่อนมีความสมบูรณ์ในช่วง 28 วันแรกหลังจากมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นเป็นที่เรียบร้อย และที่สำคัญคือช่วยสร้างเซลล์สมอง และช่วยพัฒนาการของเซลล์สมองให้กับทารกในครรภ์

  • โคลีน วันละ 450 มิลลิกรัม หรือเทียบเท่า ไข่ไก่ 2 ฟอง เนื้อปลา 200 กรัมและนม 1 แก้ว

    โคลีนสำคัญต่อแม่และลูกน้อยในครรภ์ เพราะมีส่วนช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง สนับสนุนให้เซลล์สมองของลูกน้อยในครรภ์มีพัฒนาการอย่างเหมาะสม โดยโคลีนช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้เยื่อหุ้มเซลล์ ทั้งยังมีส่วนช่วยในการสังเคราะห์อะซิติลโคลีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความจำ และการเรียนรู้ของลูกได้

  • วิตามินและเกลือแร่

    จากผักและผลไม้สด สามารถกินได้ไม่จำกัด เพื่อให้ได้รับวิตามิน เอ บี ซี ดี อี เค และเกลือแร่ต่างๆ ที่ช่วยในการทำงานของระบบสมองและประสาทของทารกในครรภ์ โดยเฉพาะธาตุเหล็ก เนื่องจากเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาเซลล์เม็ดเลือด และสังกะสีและโปรตีนที่ช่วยในการเจริญเติบโตและสร้างเซลล์ต่างๆ ของลูก

  • ดื่มน้ำให้เพิ่มจากปกติ 1 ลิตร

    การดื่มน้ำในปริมาณที่พอเหมาะจะทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี ช่วยให้การส่งสารอาหารจากคุณแม่สู่ลูกเป็นไปได้อย่างดี หากร่างกายขาดน้ำอาจนำไปสู่การคลอดก่อนกำหนดได้อีกด้วย

  • แคลเซียม วันละ 1,000-1,200 มิลลิกรัม

    เสริมสร้างกระดูกและช่วยในการเชื่อมต่อสัญญาณของระบบประสาทและกล้ามเนื้อของลูก

  • ไขมันไม่อิ่มตัวจากธรรมชาติ

    ช่วยในการเสริมสร้างสมองของลูก เช่น เมล็ดทานตะวัน ปลา และน้ำมันมะกอก

  • ธาตุเหล็ก

    มีส่วนสำคัญในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงที่จะนำออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงสมอง ธาตุเหล็กมีมากในเนื้อสัตว์ เครื่องใน ไข่แดง ลูกเดือย ข้าวกล้อง

  • ดื่มนมอย่างน้อย วันละ 1-2 แก้ว

    นมสูตรสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ เช่น เอนฟามาม่า เอพลัส มีสารอาหารที่จำเป็นต่อการพัฒนาการที่ดีของลูกในครรภ์ อย่าง ดีเอชเอ 50 มก. ต่อแก้ว แคลเซียมสูง และฟอสฟอรัสสูง มีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างกระดูก และฟันที่แข็งแรง ทั้งยังมีโฟเลตสูง ที่ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง หลอดประสาท และสมองที่สมบูรณ์ของลูกในท้อง ที่สำคัญยังมีวิตามินบี 12 สูง พร้อมใยอาหาร โคลีน และอินนูลิน (Inulin) จากธรรมชาติอีกด้วย