Enfa สรุปให้
อายุครรภ์ 13 สัปดาห์ ทารกจะมีขนาดราว ๆ 2.9 นิ้ว หรืออาจยาวสูงสุดเกือบ 4 นิ้ว หนักประมาณ 22 กรัม มีขนาดเท่ากับผลเลม่อน หรือยาวเท่ากับฝักถั่วลันเตา
อายุครรภ์ 13 สัปดาห์ กระดูกของทารกจะค่อย ๆ เจริญเติบโต ขณะเดียวกันทารกจะเริ่มดูดปาก กลืนน้ำคร่ำ และไตของทารกเริ่มมีการผลิตปัสสาวะออกมาด้วย
อายุครรภ์ 13 สัปดาห์ ตอนนี้รกพัฒนาเกือบสมบูรณ์ และทำหน้าที่แลกเปลี่ยนออกซิเจน ส่งผ่านอาหาร และขับถ่ายของเสีย
เลือกอ่านตามหัวข้อ
ในที่สุดคุณแม่ก็ผ่านพ้นการตั้งครรภ์ในไตรมาสแรก และเข้าสู่ไตรมาสที่สองอย่างเป็นทางการแล้วค่ะ ปรบมือ!! แน่นอนว่าท้อง 13 สัปดาห์นี้ คุณแม่จะเริ่มสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เพิ่มมากขึ้น
ขณะที่ทารกอายุครรภ์ 13 สัปดาห์ก็มีพัฒนาการต่อเนื่องด้วยเช่นกัน เรามาดูกันว่าจะมีมีเช็กลิสต์ที่น่าสนใจอะไรบ้างในการตั้งครรภ์ 13 สัปดาห์นี้
อายุครรภ์ 13 สัปดาห์นี้ คุณแม่หลายคนแทบไม่มีอาการแพ้ท้อง หรือหายแพ้ท้องแล้ว แต่เริ่มพบกับความเปลี่ยนของขนาดครรภ์ที่เริ่มยื่นออกมามากขึ้น และดูเหมือนเป็นคนท้องจริง ๆ มากขึ้นด้วย
มากไปกว่านั้น ยังพ่วงมากับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ซึ่งคุณแม่จะต้องคอยควบคุมให้มีน้ำหนักตัวตามที่แพทย์กำหนด เพื่อลดความเสี่ยงของทารกในครรภ์ เช่น หากน้ำหนักมากเกินไป ทารกอาจมีขนาดตัวใหญ่ ทำให้เสี่ยงต้องมีการผ่าคลอด หรือมีน้ำหนักตัวน้อยเกินไป ทารกอาจคลอดออกมาแล้วมีน้ำหนักแรกเกิดน้อยกว่าเกณฑ์ เป็นต้น
อายุครรภ์ 13 สัปดาห์ เท่ากับ 3 เดือน 1 สัปดาห์ และคุณแม่ได้เข้าสู่ช่วงแรกของการตั้งครรภ์ในไตรมาสสองอย่างเป็นทางการ
ทารกอายุครรภ์ 13 สัปดาห์ เจริญเติบโตอยู่ในมดลูก และมีพัฒนาการต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย โดยคุณแม่สามารถอัลตราซาวนด์แล้วเห็นทารกในครรภ์ที่มีขนาดตัวใหญ่ขึ้นได้อย่างชัดเจน
อายุครรภ์ 13 สัปดาห์ กระดูกของทารกจะค่อย ๆ เจริญเติบโต รวมถึงขากรรไกรก็จะเริ่มมีตุ่มฟันครบสามสิบสอง ขณะเดียวกันทารกจะเริ่มดูดปาก กลืนน้ำคร่ำ และปล่อยเป็นปัสสาวะออกมาในช่วงนี้ด้วย
ถ้าดูด้วยการอัลตราซาวนด์ทางหน้าท้องขณะที่คุณแม่ท้อง 13 สัปดาห์ จะเห็นว่าทารกในครรภ์สามารถดิ้นไปดิ้นมา พลิกตัว กลับตัวได้ แต่ในช่วงอายุครรภ์ 13 สัปดาห์นี้ คุณแม่จะยังไม่สามารถรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวนี้ เนื่องจากการดิ้นอาจจะยังไม่กระทบผนังมดลูก หรือหากกระทบผนังมดลูกก็อาจจะยังไม่แรงพอที่จะทำให้คุณแม่สามารถจับความรู้สึกได้
ในช่วงอายุครรภ์ 13 สัปดาห์ อวัยวะเพศของลูกพัฒนาเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นแล้วค่ะ การอัลตราซาวนด์อาจสามารถบอกเพศลูกได้ค่ะ แต่เนื่องจากอวัยวะเพศของลูกยังไม่ได้มีขนาดที่ใหญ่จนสังเกตได้ ดังนั้น จึงยังไม่สามารถบอกเพศได้ชัดเจน และไม่ใช่ทุกคนที่จะอัลตราซาวนด์แล้วเห็นเพศลูกชัดเจนในสัปดาห์นี้ค่ะ
ทารกในครรภ์ 13 สัปดาห์ จะมีขนาดราว ๆ 2.9 นิ้ว หรืออาจยาวสูงสุดเกือบ 4 นิ้ว มีขนาดเท่ากับผลเลม่อน หรือยาวเท่ากับฝักถั่วลันเตา
การพัฒนาของอวัยวะและระบบต่าง ๆ ที่สำคัญของทารกในช่วงอายุครรภ์ 13 สัปดาห์ มีดังนี้
• ระบบทางเดินอาหารของทารกเริ่มทำงาน
• ระบบประสาทและกล้ามเนื้อของทารกเริ่มทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น
• ทารกในครรภ์จะเริ่มมีดวงตาและหูที่เด่นชัด เริ่มมีเปลือกตาให้เห็น แต่ยังคงปิดสนิทเพื่อปกป้องดวงตาที่อยู่ในช่วงพัฒนา
• เนื้อเยื่อที่จะพัฒนาเป็นกระดูกจะก่อตัวขึ้นที่ศีรษะ แขนและขา แต่เราอาจมองเป็นซี่โครงท่อนเล็ก
• เส้นเลือดดำและอวัยวะต่าง ๆ ก็เริ่มเป็นรูปร่างที่เด่นชัดขึ้นผ่านผิวหนังบาง ๆ ของทารก
• ไตของทารกเริ่มมีการผลิตปัสสาวะ
• ทารกเริ่มกำมือและแบมือ และบางครั้งก็ดูดนิ้วมือด้วย
• ทารกเริ่มสร้างขนอ่อนขึ้นเพื่อให้ความอบอุ่นและปกป้องร่างกาย
• ตอนนี้รกพัฒนาเกือบสมบูรณ์ และทำหน้าที่แลกเปลี่ยนออกซิเจน ส่งผ่านอาหาร และขับถ่ายของเสีย
อายุครรภ์ 13 สัปดาห์ มดลูกของคุณแม่จะโตขึ้นกว่าเดิมมากขึ้นจนโผล่พ้นจากบริเวณอุ้งเชิงกรานมาที่บริเวณท้อง มดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้นในช่วงอายุครรภ์ 13 สัปดาห์นี้ จะไปกดทับกระเพาะปัสสาวะ ทำให้คุณแม่ต้องเข้าห้องน้ำบ่อยขึ้น
มากไปกว่านั้น คุณแม่อาจรู้สึกหายใจเร็วขึ้น ถี่ขึ้นกว่าเดิม ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ 13 สัปดาห์ เพราะร่างกายต้องการระบายปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากลูกส่งผ่านออกมาผ่านทางรก จึงทำให้อัตราการหายใจเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
ท้อง 13 สัปดาห์ ขนาดท้องของคุณแม่ขยายออกมาจนคนรอบข้างเริ่มสังเกตได้บ้างแล้วค่ะว่าคุณแม่กำลังตั้งครรภ์ ตอนนี้คุณแม่หลายคนเริ่มเปลี่ยนมาสวมใส่เสื้อผ้าที่สบายมากขึ้น จากกางเกงพอดีตัว ก็มาเป็นกางเกงยางยืด หรือเดรส เพื่อลดความรู้สึกอึดอัน หรือแน่นคับ ซึ่งอาจทำให้ไม่สบายตัว
แม่ท้อง 13 สัปดาห์ ควรเน้นกินอาหารที่มีประโยชน์ หลากหลาย และครบทั้ง 5 หมู่ ในแต่ละมื้อควรประกอบไปด้วยเนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ รวมถึงธัญพืชต่าง ๆ ด้วย มากไปกว่านั้น ยังจำเป็นจะต้องเน้นกลุ่มสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการตั้งครรภ์ ได้แก่
• ดีเอชเอ ช่วยพัฒนาทางสมอง ดวงตา และระบบประสาท ช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ อาหารที่มีดีเอชเอสูง เช่น ปลาทะเล อโวคาโด ไข่แดง เป็นต้น
• ธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของภาวะโลหิตจางระหว่างตั้งครรภ์ ธาตุเหล็กพบได้มากในอาหารจำพวก เนื้อแดง ไข่แดง ตับ งา และผักสีเขียวเข้ม เป็นต้น
• โฟเลต ช่วยในการพัฒนาของระบบประสาทและสมอง รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงที่เกี่ยวกับระบบประสาทของทารกในครรภ์ โฟเลตพบได้มากในอาหารจำพวก ตับ ไข่ ผักใบเขียว และถั่วต่าง ๆ เป็นต้น
• แคลเซียม ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันของแม่และทารกให้แข็งแรง แคลเซียมพบได้มากในอาหารจำพวกนม หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม เช่น ชีส เนย หรือโยเกิร์ต เป็นต้น
• ไอโอดีน ช่วยให้ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในร่างกายปกติ ลดความเสี่ยงของโรคไทรอยด์ระหว่างตั้งครรภ์ ไอโอดีนพบในอาหารทะเลทุกชนิด เกลือไอโอดีน ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม กระเทียม หรืองา เป็นต้น
• โคลีน ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะความบกพร่องที่ระบบท่อประสาทของทารกในครรภ์ โคลีน พบมากในอาหารจำพวกไข่ เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน แซลมอน ไก่ บร็อคโคลี่ กะหล่ำดอก เป็นต้น
• โอเมก้า 3 ช่วยเสริมสร้างและดูแลสุขภาพหัวใจ ระบบภูมิคุ้มกัน สมอง และดวงตา รวมถึงมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของภาวะซึมเศร้าหลังคลอดด้วย โอเมก้า 3 พบได้มากในอาหารจำพวกปลาทะเล เช่น ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล ปลาซาร์ดีน ปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน ปลาเฮอริ่ง และพืชตระกูลถั่ว เช่น เมล็ดแฟลกซ์ ถั่วพีแคน ถั่วเฮเซลนัท เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม นอกจากการกินอาหารที่มีประโยชน์และหลากหลายแล้ว คุณแม่สามารถเสริมสุขภาพด้วยการดื่มนมค่ะ
โดยสามารถเลือกนมที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นจำหรับคนท้อง เช่น มีแคลเซียมสูง อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก โฟลิก โคลีน เป็นต้น
ซึ่งการดื่มนมก็จะช่วยให้คุณแม่ยังได้รับสารอาหารจำเป็นในปริมาณที่เหมาะสม แม้ว่าในวันนั้นอาจจะกินอาหารได้น้อยลง
ท้อง 13 สัปดาห์ อาการแพ้ท้องส่วนมากแทบจะไม่มีเหลือแล้ว หรืออาจจะมีอยู่บ้างแต่ก็ทุเลาลงมากแล้วค่ะ แต่ถ้าหากคุณแม่ยังมีอาการแพ้ท้องอยู่ ก็ไม่ถือว่าผิดปกติค่ะ
เพราะร่างกายของแม่แต่ละคนแตกต่างกัน บางคนอาจจะแพ้ท้องนาน หรือบางคนไม่แพ้ท้องเลยก็มี และตราบเท่าที่ไปตรวจครรภ์แล้วทารกในครรภ์ยังปกติ ก็ไม่มีอะไรต้องกังวลค่ะ
อย่างไรก็ตาม อาการคนท้องอายุครรภ์ 3 สัปดาห์ โดยทั่วไปที่สามารถพบได้ในระยะนี้ ประกอบไปด้วย
• ความดันโลหิตของคุณแม่จะลดลง เนื่องจากฮอร์โมนของการตั้งครรภ์จำทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตเกิดการขยายตัวมากขึ้น จนกระทั่งถึงสัปดาห์ที่ 24 ความดันโลหิตถึงกลับไปสู่ระดับเดิมก่อนการตั้งครรภ์
• การไหลเวียนของเลือดที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้เกิดอาการคัดจมูกและแม้กระทั่งเลือดกำเดาไหลบ่อย
• คุณแม่บางคนรู้สึกว่าผิวคล้ำขึ้น ผิวแห้งขึ้น
• มีตกขาวมากขึ้น เพราะมีการไหลเวียนเลือดไปที่ช่องคลอดมากขึ้น และฮอร์โมนเอสโตรเจนที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้คุณแม่หลายคนมีอาการตกขาวออกมามากขึ้น
• มีอาการปวดท้อง เนื่องจากการขยายตัวของมดลูกและเส้นเอ็นบริเวณหน้าท้อง
• เริ่มมองเห็นเส้นเลือดที่บริเวณผิวหนังหรือหน้าท้องชัดเจนมากขึ้น เพราะร่างกายมีการไหลเวียนเลือดที่เพิ่มขึ้น
• ระยะนี้ปากมดลูกจะมีไวต่อการสัมผัสมากขึ้น ทำให้คุณแม่หลายคนมีอารมณ์ทางเพศสูง
อายุครรภ์ 13 สัปดาห์ อัลตราซาวนด์สามารถทำได้ค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากแพทย์มีการนัดอัลตราซาวนด์ คุณแม่ควรไปพบแพทย์ทุกครั้ง เพื่อที่แพทย์จะได้ทำการตรวจดูว่าทารกในครรภ์ยังปกติหรือไม่ หรือคุณแม่มีความเสี่ยงใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในขณะตั้งครรภ์
มากไปกว่านั้น แพทย์ยังจำเป็นจะต้องอัลตราซาวนด์เพื่อตรวจหาความเสี่ยงของภาวะบกพร่องทางโครโมโซมและพันธุกรรม เพื่อหาความเสี่ยงของดาวน์ซินโดรม รวมถึงการตรวจเลือด และตรวจวัดระดับฮอร์โมนในร่างกายด้วย
อายุครรภ์ 13 สัปดาห์ คุณแม่อาจพบกับอาการต่าง ๆ ที่ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องปกติของคนท้องหรือเปล่า หรือเป็นสัญญาณอันตรายไหม ซึ่งขอแนะนำว่าคุณแม่ควรจะหมั่นสังเกตอาการตนเองอยู่เสมอว่ามีอาการใด ๆ ที่ผิดแปลกไปจากเดิมหรือไม่
และหากมีอาการใด ๆ ที่สงสัยว่าอาจจะเป็นสัญญาณอันตราย หรือไม่แน่ใจว่าอาการแบบนี้ผิดปกติไหม ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยทันทีค่ะ
ท้อง 13 สัปดาห์ แต่ขนาดหน้าท้องยังไม่โตนั้น ไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติเสียทีเดียวค่ะ เพราะไม่ใช่คุณแม่ทุกคนที่จะหน้าท้องโตทั้งแต่อายุครรภ์ 13 สัปดาห์ มากไปกว่านั้น การเปลี่ยนแปลงของหน้าท้องยังขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น
• คุณแม่ตั้งครรภ์ครั้งแรก หน้าท้องจึงมักไม่ขยายใหญ่
• คุณแม่ออกกำลังกายกายมาตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ ทำให้มีผนังหน้าท้องที่หน้า เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ หน้าท้องจึงไม่นูนออกมาง่าย ๆ
• คุณแม่ตั้งครรภ์ตอนอายุยังน้อย
• คุณแม่มีสรีระที่เล็ก ขนาดหน้าท้องจึงไม่ขยายใหญ่เกินกว่าสรีระของคุณแม่
หากมีเลือดออกขณะตั้งครรภ์ ไม่ว่าจะอายุครรภ์เท่าไหร่ก็ตาม ให้คุณแม่รีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อทำการวินิจฉัยว่าอาการเลือดออกนั้นเกิดจากสาเหตุใด เพราะอาจจะเป็นเลือดที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ตามปกติ หรือเกิดจากภาวะความผิดปกติอื่น ๆ เช่น การแท้ง ภาวะแท้งคุกคาม
ดังนั้น อย่ารอรีหรือมัวแต่ชะล่าใจนะคะ เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าอาการเลือดออกตอนท้องนี้มีสาเหตุมาจากอะไรจนกว่าจะได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ค่ะ
อาการปวดท้องน้อยในอายุครรภ์ 13 สัปดาห์ อาจมีสาเหตุมาจากการขยายตัวของมดลูก และเส้นเอ็นหน้าท้องที่มีการขยายตัว แต่ถ้าหากมีอาการปวดท้องน้อยติดต่อกันหลายวันแล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือปวดมากจนเริ่มส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
ให้คุณแม่รีบไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยทันทีค่ะ เพราะอาจเป็นสัญญาณของการแท้ง หรือภาวะความเสี่ยงอื่น ๆ ในขณะตั้งครรภ์ได้
โดยทั่วไปแล้วอาการท้องแข็งนั้นจะพบในช่วงไตรมาสที่สาม หรือช่วงใกล้คลอด มักไม่พบในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์
ดังนั้น หากพบว่ามีอาการท้องแข็งเกิดขึ้นตั้งแต่ไตรมาสแรก ควรไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัย เพราะอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์ได้ค่ะ
คุณแม่อายุครรภ์ 13 สัปดาห์ ควรใส่ใจดูแลตนเองเพื่อรักษาสุขภาพให้แข็งแรง หมั่นกินอาหารที่มีประโยชน์ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ผ่อนคลายความเครียด งดบุหรี่ แอลกอฮอล์ และสารเสพติด
แม่ท้องต้องใส่ใจเรื่องอาหารการกินมากเป็นพิเศษ เพื่อสร้างสุขภาพที่แข็งแรงทั้งแม่และลูกในท้อง ดังนั้น นอกจากกลุ่มอาหารที่มีประโยชน์ซึ่งคุณแม่ควรกินเป็นประจำทุกวันแล้ว ยังมีอาหารที่คุณแม่จำเป็นต้องเลี่ยงเพื่อความปลอดภัยในการตั้งครรภ์ ได้แก่
• นมและผลิตภัณฑ์จากนม เช่น เนย ชีส ที่ไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์
• เนื้อสัตว์ปีก อาหารทะเล และไข่ที่ไม่ผ่านการปรุงสุก
• อาหารทะเลหรือปลาที่มีสารปรอทสูง เช่น ปลากระโทงดาบ ปลาไทล์ฟิช ปลาฉลาม ปลาแมคเคอเรล และปลาทูน่าตาโต
• แป้งดิบ ไม่ว่าจะเป็นแป้งคุกกี้หรือแป้งเค้กก็ตาม
• เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรืออาหารที่มีการใส่แอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม
มากไปกว่านั้น คุณแม่ยังควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมประเภทที่ต้องมีการตอบโต้กันไปมา เช่น การชกมวย รักบี้ ฟุตบอล เพราะเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุที่รุนแรงขณะปะทะกัน รวมถึงกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการพลัดตก หกล้ม เช่น ขี่ม้า ปีนเขา
หากคุณแม่ยังคงมีอาการแพ้ท้องรบกวนอยู่ในสัปดาห์นี้ ไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นความผิดปกตินะคะ ร่างกายของแม่แต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะแพ้ท้องนาน บางคนอาจแพ้ท้องไม่กี่เดือน ตราบเท่าที่ไปตรวจครรภ์แล้วทารกยังเติบโตตามปกติก็ไม่มีอะไรต้องกังวลค่ะ
คุณแม่ที่มีอาการแพ้ท้อง สามารถดูแลตัวเองง่าย ๆ เพื่อบรรเทาอาการแพ้ท้องให้ดีขึ้นได้ ดังนี้
• พักผ่อนให้เพียงพอ
• งดอาหารรสจัด รสเผ็ด รสเปรี้ยวจัด
• พยายามอย่าปล่อยให้ท้องว่าง ควรมีของว่างติดตัวไว้ตลอด
• แบ่งมื้ออาหารเป็นมื้อเล็ก ๆ 5-6 มื้อ
• ดื่มน้ำให้เพียงพอ
• จิบน้ำอุ่น ชาขิง หรือน้ำขิงสด
อย่างไรก็ตาม หากอาการแพ้ท้องส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น แพ้ท้องรุนแรงจนนอนไม่หลับ แพ้ท้องจนกินอาหารไม่ได้ ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาที่เหมาะสม เพราะถ้าปล่อยไว้นานจะส่งผลเสียต่อสุขภาพของแม่และทารกในครรภ์ได้ค่ะ
ภาวะแท้งคุกคาม (Threatened Abortion) คือ ความผิดปกติของการตั้งครรภ์ ที่สามารถพบได้ในช่วง 20 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ โดยแม่ที่มีภาวะแท้งคุกคามจะมีเลือดออกทางช่องคลอดในขณะที่ปากมดลูกยังไม่เปิด ซึ่งเลือดที่ไหลออกมานั้นอาจเป็นเลือดสีสด มูกเลือด หรือเลือดสีน้ำตาลก็ได้
ภาวะแท้งคุกคาม เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น
• โครโมโซมผิดปกติ
• ทารกพิการตั้งแต่ในครรภ์
• มดลูกและโพรงมดลูกผิดปกติ
• การได้รับยาหรือสารเคมีเข้าสู่ร่างกาย
• มีประวัติการแท้งบุตรมาก่อน
• ตั้งครรภ์ตอนอายุมาก
• แม่ท้องมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง
ภาวะแท้งคุกคาม จำเป็นจะต้องรีบไปพบแพทย์โดยทันที เพราะถือว่าเป็นภาวะการตั้งครรภ์ที่ผิดปกติ และเสี่ยงต่อการแท้งบุตรได้
ดังนั้น หากมีเลือดออกในขณะตั้งครรภ์ ให้คุณแม่รีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุว่าอาการเลือดออกนั้นมีที่มาจากอะไรกันแน่
ในกรณีที่เป็นสัญญาณของความผิดปกติ แพทย์จะได้ทำการรักษาด้วยวิธีที่ถูกต้องและเหมาะสมต่อไป
ช่วงเวลา 1,000 วันแรก คือช่วงเวลาที่นับตั้งแต่คุณแม่เริ่มตั้งครรภ์ไปจนถึงวันเกิดครบ 2 ขวบของลูกน้อย ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากที่คุณแม่จะต้องใส่ใจกับการดูแลตนเองและลูกน้อยตั้งแต่อยู่ในท้องจนกระทั่งลืมตาออกมาดูโลก
หมั่นฟูมฟักทั้งโภชนาการที่มีประโยชน์ ปลูกฝังอารมณ์ สภาพจิตใจ ความรัก ความอบอุ่น รวมทั้งการเสริมสร้างพัฒนาการด้วยการเล่น การพูดคุย เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ลูกน้อยมีพัฒนาการด้านต่าง ๆ ที่สมบูรณ์ สมวัย และมีสุขภาพที่ดี พร้อมสำหรับการเจริญเติบโตในทุก ๆ วัน โดยช่วงเวลา 1,000 วันของลูกน้อย สามารถแยกออกได้เป็น 3 ช่วง ได้แก่
• ช่วงที่ 1: ตั้งครรภ์ (270 วัน)
• ช่วงที่ 2: วัยแรกเกิด – 6 เดือน (180 วัน)
• ช่วงที่ 3: วัย 6 เดือน – 2 ปี (550 วัน)
หากมีอาการเลือดออกขณะตั้งครรภ์ ควรไปพบแพทย์ทันทีเพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยดูว่าเกิดจากสาเหตุใด และตรวจดูว่าทารกในครรภ์ยังปกติหรือไม่ค่ะ
แม่ท้อง 13 สัปดาห์ ควรกินอาหารที่มีประโยชน์ หลากหลาย ครบทั้ง 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่ผ่านการพาสเจอไรซ์ และต้องกินอาหารที่ปรุงสุกแล้วเท่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อไวรัสที่มากับอาหาร มากไปกว่านั้น ยังควรเน้นสารอาหารสำคัญที่มีประโยชน์ต่อการตั้งครรภ์ ดังนี้
• ดีเอชเอ พบได้มากในอาหารจำพวก ปลาทะเล อโวคาโด ไข่แดง เป็นต้น
• ธาตุเหล็ก พบได้มากในอาหารจำพวก เนื้อแดง ไข่แดง ตับ งา และผักสีเขียวเข้ม เป็นต้น
• โฟเลต พบได้มากในอาหารจำพวก ตับ ไข่ ผักใบเขียว และถั่วต่าง ๆ เป็นต้น
• แคลเซียม พบได้มากในอาหารจำพวกนม หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม เช่น ชีส เนย หรือโยเกิร์ต เป็นต้น
• ไอโอดีน พบในอาหารทะเลทุกชนิด เกลือไอโอดีน ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม กระเทียม หรืองา เป็นต้น
• โคลีน พบมากในอาหารจำพวกไข่ เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน แซลมอน ไก่ บร็อคโคลี่ กะหล่ำดอก เป็นต้น
• โอเมก้า 3 พบได้มากในอาหารจำพวกปลาทะเล เช่น ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล ปลาซาร์ดีน ปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน ปลาเฮอริ่ง และพืชตระกูลถั่ว เช่น เมล็ดแฟลกซ์ ถั่วพีแคน ถั่วเฮเซลนัท เป็นต้น
Enfa สรุปให้ อายุครรภ์ 17 สัปดาห์ ทารกจะมีความยาวประมาณ 5 – 5.1 นิ้ว มีน้ำหนักประมา...
อ่านต่อEnfa สรุปให้ อายุครรภ์ 18 สัปดาห์ ทารกจะมีขนาดยาวประมาณ 5.6 นิ้ว หนักประมาณ 190 - 1...
อ่านต่อEnfa สรุปให้ อายุครรภ์ 21 สัปดาห์ ทารกจะมีความยาวประมาณ 7 นิ้ว หนักประมาณ 300 - 310...
อ่านต่อ