Enfa สรุปให้
เลือกอ่านตามหัวข้อ
การตรวจครรภ์ ถือว่าเป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญในระยะแรกเริ่มของการตั้งครรภ์ เพราะจะทำให้คุณแม่ได้ทราบว่า หลังจากเริ่มมีอาการคล้ายอาการคนท้องแล้ว ขณะนี้ตัวเองกำลังตั้งครรภ์อยู่หรือไม่ ซึ่งบางคนก็อาจจะรู้สึกได้ถึงอาการแพ้ท้อง แล้วจึงทำการตรวจครรภ์ ขณะที่บางคนไม่มีอาการแพ้ท้องหรืออาการผิดปกติใด ๆ เลย กว่าจะรู้ว่าตั้งครรภ์อีกทีก็อาจจะเข้าไตรมาสที่สองไปแล้ว
ดังนั้น บทความวันนี้จาก Enfa จึงจะพาคุณแม่ทุกคนมารู้จักกับการตรวจครรภ์แบบต่าง ๆ กันค่ะ มาดูกันว่าตรวจการตั้งครรภ์ ทำอย่างไร? เช็กวิธีตรวจครรภ์ ด้วยวิธีไหนถึงจะให้ผลแม่นยำที่สุด คํานวณอายุครรภ์กี่สัปดาห์? และตรวจตั้งครรภ์เร็วสุดกี่วัน? ถึงจะพบว่ามีการตั้งครรภ์ มาหาคำตอบเหล่านี้กันได้เลยค่ะ
การตรวจครรภ์ สามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
1. ตรวจครรภ์ด้วยการเจาะเลือดตรวจครรภ์ (Blood Test)
การตรวจเลือดตั้งครรภ์ หรือการตรวจเลือดเพื่อหาการตั้งครรภ์ เป็นอีกหนึ่งวิธีการตรวจครรภ์ที่ให้ผลลัพธ์แม่นยำสูง เพราะผลการตรวจเลือดไม่เพียงแค่จะบอกว่าคุณแม่กำลังตั้งท้องหรือไม่ แต่ยังสามารถตรวจพบระดับฮอร์โมน hCG หรือฮอร์โมนการตั้งครรภ์ได้อีกด้วย
ซึ่งสามารถตรวจได้ 2 วิธี คือ
2. ตรวจครรภ์ด้วยการตรวจปัสสาวะคนท้อง "Urine Pregnancy Test" หรือ ยูพีที (UPT)
การตรวจปัสสาวะเป็นวิธีที่ง่ายมาก ทำได้โดยการปัสสาวะผ่านแท่งตรวจ ซึ่งแท่งตรวจก็จะมีทั้งแท่งตรวจแบบหยด และแท่งตรวจแบบจุ่ม
3. ตรวจครรภ์ด้วยการตรวจการตั้งครรภ์ด้วยอัลตราซาวนด์
การตรวจการตั้งครรภ์ ด้วยวิธีนี้ จะเป็นการตรวจด้วยการส่งคลื่นเสียงความถี่สูงไปยังเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในช่องท้องและสร้างภาพขึ้นมา ทำการตรวจโดยแพทย์ทั่วไปหรือสูตินรีแพทย์
ซึ่งนอกจากจะช่วยตรวจดูว่ามีการตั้งครรภ์แล้ว ยังสามารถบอกตำแหน่งการตั้งครรภ์ ตั้งครรภ์แฝดหรือไม่ มีการท้องนอกมดลูกหรือไม่ มดลูกมีก้อนเนื้องอกมดลูก ถุงน้ำ หรือซีสต์รังไข่หรือไม่ เป็นต้น
นอกจากนี้ หลังอายุครรภ์ 4 เดือนไปแล้ว การตรวจอัลตราซาวนด์ยังสามารถตรวจเพศของลูก และคัดกรองความพิการหรือภาวะผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น เช่น รกเกาะต่ำ ภาวะน้ำคร่ำมากหรือน้อยเกินไป ความพิการแต่กำเนิดของทารก เป็นต้น
ตรวจตั้งครรภ์ด้วยตัวเอง แบบที่คุณสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง โดยการซื้อที่ตรวจครรภ์ หรือชุดทดสอบการตั้งครรภ์จากปัสสาวะที่จำหน่ายอยู่ในร้านค้าทั่วไปหรือร้านขายยา
ซึ่งวิธีนี้จะเป็นวิธีทดสอบหาฮอร์โมน hCG (Human Chorionic Gonadotropin) ที่ออกมากับปัสสาวะ โดยเป็นฮอร์โมนที่ถูกสร้างจากรกและบ่งบอกถึงการตั้งครรภ์ โดยสามารถตรวจพบฮอร์โมน hCG ได้ในปัสสาวะ หลังจากปฏิสนธิไปแล้ว 1-2 สัปดาห์ และระดับฮอร์โมนจะขึ้นสูงสุดในช่วง 9-12 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ ซึ่งความแม่นยำของการตรวจวิธีนี้จะมีมากถึง 90 %
โดยอุปกรณ์ทดสอบการตั้งครรภ์นี้แบ่งออกเป็น 4 รูปแบบ คือ
อุปกรณ์ชุดนี้จะมีราคาถูก ประกอบไปด้วยแผ่นทดสอบการตั้งครรภ์ และถ้วยตวง (บางยี่ห้อไม่มี) วิธีการใช้คือเก็บปัสสาวะลงในถ้วยตวง แล้วนำแผ่นทดสอบจุ่มลงในถ้วยตวงประมาณ 3 วินาที แล้วนำออกมาจากถ้วยตวง ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาทีเพื่อรออ่านผลตรวจครรภ์ ข้อควรระวัง คือ อย่าให้น้ำปัสสาวะเลย หรือสูงเกินกว่าขีดลูกศรของแผ่นทดสอบ
มีเพียงแท่งตรวจครรภ์ที่ใช้ในการทดสอบเท่านั้น วิธีการใช้คือ ถอดฝาครอบออกแล้วถือแท่งให้หัวลูกศรชี้ลงพื้น แล้วปัสสาวะผ่านบริเวณที่ต่ำกว่าลูกศรให้ชุ่มประมาณ 30 วินาที จากนั้นรออ่านผลประมาณ 3-5 นาที
ชุดอุปกรณ์จะประกอบไปด้วยหลอดหยด ตลับตรวจครรภ์ และถ้วยตวงปัสสาวะ ขั้นตอนการใช้ คือ เก็บปัสสาวะลงในถ้วยตวง จากนั้นนำหลอดหยดดูดน้ำปัสสาวะแล้วหยดลงในตลับตรวจครรภ์ประมาณ 3-4 หยด วางตลับทิ้งไว้ประมาณ 5 นาทีแล้วจึงอ่านผลการตรวจ
ประกอบไปด้วยอุปกรณ์เพียงชิ้นเดียว คือ แท่งสำหรับตรวจครรภ์ที่เป็นแบบดิจิทัล มีลักษณะคล้ายกับที่ตรวจครรภ์แบบปากกา และวิธีใช้ก็คล้ายกันด้วย คือเพียงแค่ถอดฝาครอบแท่งตรวจครรภ์ออก แล้วถือให้ลูกศรหัวทิ่มลงพื้น จากนั้นปัสสาวะผ่านให้โดนบริเวณที่อยู่ตำกว่าลูกศร โดยปัสสาวะผ่านประมาณ 5-30 วินาที เพื่อให้ที่ตรวจครรภ์มีความชุ่มเพียงพอ จากนั้นวางพักไว้ในแนวราบ และรออีกประมาณ 5 นาที เพื่ออ่านผลลัพธ์การตั้งครรภ์
หลายคนก็อาจจะสงสัยว่า หลังจากที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว อีกกี่วันถึงจะรู้ว่าท้อง? และกระบวนการที่จะสามารถบอกได้ว่าท้องหรือไม่ท้องนั้นก็คือการตรวจครรภ์นั่นเอง ซึ่งก็สามารถเลือกได้ว่าจะตรวจด้วยตนเอง หรือเข้ารับการตรวจโดยตรงกับแพทย์
ส่วนระยะเวลาในการตรวจนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าคำนวณวันตกไข่ไว้ได้อย่างแม่นยำหรือไม่ เพราะถ้าหากคำนวณวันตกไข่เอาไว้แล้ว หลังจากวันที่มีเพศสัมพันธ์ไปอีก 12-14 วัน ถือว่าเป็นระยะเวลาที่เร็วที่สุดที่จะสามารถตรวจพบการตั้งครรภ์ได้ เพราะเป็นระยะเวลาที่มีการปฏิสนธิของไข่กับอสุจิเสร็จสมบูรณ์พอดี การตรวจในระยะนี้ก็จะให้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม ไม่ควรตรวจครรภ์เร็วเกินไป เพราะการตรวจครรภ์หลังมีเพศสัมพันธ์ผ่านไปแค่ไม่กี่วัน ไม่ได้เป็นตัวการันตีผลตรวจครรภ์ว่าจะมีความแม่นยำสูง แต่กลับเสี่ยงที่จะเกิดการคลาดเคลื่อนเพราะการปฏิสนธิอาจจะยังไม่สมบูรณ์ดี ทางที่ดีควรรออย่างน้อย 12-14 วันหลังจากการมีเพศสัมพันธ์ในวันตกไข่จะได้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงความจริงที่สุด
ฮอร์โมน hCG เป็นฮอร์โมนการตั้งครรภ์ที่เกิดจากรก ประกอบไปด้วยความยาวกรดอะมิโนจำนวน 237 ตัว แบ่งเป็น
ซึ่งจะฮอร์โมน hCG จะสามารถตรวจพบได้หลังจากผ่านการปฏิสนธิไปแล้ว 6 วัน หากมีระดับ hCG สูงก็แปลว่ากำลังตั้งครรภ์ แต่ถ้าระดับ hCG อยู่ในระดับต่ำถึงต่ำมาก ก็แปลว่ายังไม่มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น ซึ่งการตรวจหา hCG นั้นจะตรวจเพื่อดักจับส่วนประกอบย่อยฮอร์โมน โดยใช้น้ำยาสำหรับตรวจหา hCG โดยเฉพาะ
อย่างไรก็ตาม hCG ยังสามารถบอกถึงความเสี่ยงของการตั้งครรภ์ได้อีกด้วย เพราะแม้ว่าจะตรวจพบการตั้งครรภ์แล้ว แต่เมื่อผ่านไประยะหนึ่งแล้วพบว่าระดับ hCG ลดลง ก็อาจเป็นสัญญาณเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์นอกมดลูก ซึ่งเสี่ยงที่จะเป็นอันตรายต่อคุณแม่ที่กำลังตั้งท้องอยู่ เนื่องจากเป็นการตั้งครรภ์ที่ผิดปกติ และอาจจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด เพื่อลดความเสี่ยงของการเสียชีวิต
หรือถ้าหากจู่ ๆ ระดับ hCG เกิดพุ่งสูงขึ้นมา ก็อาจเป็นสัญญาณเสี่ยงของครรภ์ไข่ปลาอุก ซึ่งเป็นภาวะที่ตัวอ่อนไม่เจริญเติบโตเป็นทารก แต่กลายเป็นเนื้องอกที่ไม่ได้ร้ายแรงแทน
ค่า hCG ในกรณีที่มีการตั้งครรภ์ จะอยู่ที่ 25 mIU/mL แต่ถ้าหากตรวจพบอยู่ที่ 6-24 mIU/mL ถือว่าเป็นระยะอ่อนไหวที่อาจจะต้องกลับมาตรวจอีกรอบ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำมากขึ้น โดยค่า hCG ก่อนจะทยอยเพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้นสูงสุดในช่วงไตรมาสแรก จากนั้นจะค่อย ๆ ลดปริมาณลงในไตรมาสสุดท้าย
ค่า hCG ของคนท้องสามารถตรวจพบตามอายุครรภ์เป็นสัปดาห์ ดังนี้
ค่า hCG ที่น้อยกว่า 5 mIU/mL ถือว่าไม่พบการตั้งครรภ์ แต่ถ้าหากตรวจพบอยู่ที่ 6-24 mIU/mL ถือว่าเป็นระยะอ่อนไหวที่อาจจะต้องกลับมาตรวจอีกรอบ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำมากขึ้น
การตรวจวัดระดับhCG แบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้
โดยทั่วไปแล้วระดับ hCG ที่ต่ำกว่า 5 mIU/mL ถือว่าไม่พบการตั้งครรภ์ แต่ถ้าหากตรวจพบอยู่ที่ 6-24 mIU/mL ถือว่าเป็นระยะอ่อนไหวที่อาจจะต้องกลับมาตรวจอีกรอบ ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น แต่ตรวจครรภ์เร็วเกินไป ทำให้ระดับฮอร์โมนมีน้อยกว่าที่ควรจะตรวจพบการตั้งครรภ์
โดยปกติแล้วคงไม่มีใครที่จู่ ๆ ก็นึกอยากจะตรวจครรภ์ขึ้นมาเสียดื้อ ๆ เพราะคนที่ต้องการจะตรวจครรภ์นั้น ก็มักจะมีเหตุปัจจัยบางประการที่รู้สึกว่าตัวเองอาจจะกำลังตั้งครรภ์โดยที่ไม่ทันรู้ตัว หรือสังเกตว่าประจำเดือนมาช้ากว่าปกติ มีอาการคนท้อง หรือเริ่มมีอาการแพ้ท้อง
ดังนั้น หากจะถามว่า ควรตรวจครรภ์ตอนไหน ก็คงจะต้องขึ้นอยู่กับว่า อยู่ระหว่างการพยายามตั้งครรภ์หรือไม่ ประจำเดือนมาไม่ปกติหรือเปล่า หรือมีอาการแพ้ท้องเบื้องต้นไหม หากมีอาการบ่งชี้อย่างใดอย่างหนึ่ง และสงสัยว่าตัวเองกำลังตั้งท้องหรือไม่ ก็สามารถที่จะตรวจครรภ์ได้ทันที
แต่หากจะถามว่า แล้วตรวจครรภ์ตอนไหนชัวร์สุด ตรวจครรภ์ควรตรวจตอนไหนถึงจะได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงที่สุด คำตอบคือ ควรจะต้องรอจนกว่าจะถึงวันที่ประจำเดือนขาดไป จึงเริ่มทำการตรวจครรภ์ได้
แต่ในกรณีที่ต้องการตรวจเร็วที่สุด ส่วนนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า คุณแม่ได้คำนวณวันตกไข่ไว้ก่อนหน้านั้นหรือไม่ หรือจำครั้งสุดท้ายที่มีเพศสัมพันธ์ได้หรือไม่ หากมีข้อมูลในส่วนนี้ ก็ให้นับไป 12-14 วันหลังมีเพศสัมพันธ์ในวันที่คาดว่าจะมีการตกไข่แล้ว ซึ่งช่วงระยะเวลาดังกล่าวถือว่าเป็นระยะเวลาเร็วที่สุดที่จะสามารถตรวจพบการตั้งครรภ์ได้
แต่ถ้าหากตรวจครรภ์ก่อน 12-14 วันหลังการมีเพศสัมพันธ์ในวันไข่ตก แบบนี้ถือว่าตรวจครรภ์เร็วเกินไป ก็อาจจะได้ผลลัพธ์ที่ไม่แม่นยำ เพราะการปฏิสนธิยังไม่สมบูรณ์ ระดับฮอร์โมนการตั้งครรภ์ยังไม่คงที่ ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้อาจจะไม่ตรงกับความจริงที่กำลังตั้งครรภ์อยู่
แม้ส่วนมากแล้วมักจะมีการแนะนำให้ตรวจครรภ์หลังการมีเพศสัมพันธ์ล่าสุด แต่อย่าลืมว่าไม่ใช่การมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้งจะนำไปสู่การตั้งครรภ์ การมีเพศสัมพันธ์ที่จะนำไปสู่การตั้งครรภ์ จะต้องเป็นจังหวะที่ร่างกายของผู้หญิงมีการตกไข่ จึงจะมีโอกาสที่จะเกิดการตั้งครรภ์ได้
ส่วนมากแล้ว หากสามารถคาดคะเนวันที่จะมีการตกไข่ได้ ก็ให้นับจากวันที่มีเพศสัมพันธ์ในวันไข่ตกไป 12-14 วันหลังปฏิสนธิ ก็อาจจะสามารถทราบได้ว่ากำลังตั้งท้องหรือไม่
การตรวจครรภ์อย่างเร็วที่สุดที่สามารถตรวจพบได้คือ 12-14 วัน เพราะหลังจากที่มีการตกไข่ ประจำเดือนของผู้หญิงจะมาอีกใน 14 วันถัดมา ซึ่งก็แปลว่าไม่ได้มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น
แต่ถ้าครบ 14 วันหลังการมีเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุดในวันที่มีการตกไข่แล้วประจำเดือนยังไม่มา ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้ใช้ได้ผลกับคนที่ประจำเดือนมาปกติเท่านั้น ในกรณีที่ประจำเดือนมาไม่ปกติ อาจจะต้องมาคำนวณหาครั้งล่าสุดที่มีประจำเดือน และคำนวณวันที่คาดว่าจะมีไข่ตก แล้วนำข้อมูลมาประกอบกันเพื่อคำนวณดูว่าหลังจากนั้นประจำเดือนจะมาในช่วงไหน
เป็นที่ค่อนข้างจะแน่นอนว่า หากผลจากที่ตรวจครรภ์ขึ้น 2 ขีด หรือผลเป็นบวก ก็ต้องขอแสดงความยินดีกับว่าที่คุณแม่ด้วย เพราะน่าจะกำลังมีเบบี๋ตัวน้อย ๆ เข้ามาเติมเต็มชีวิตครอบครัวเร็ว ๆ นี้
อย่างไรก็ตาม ผลตรวจครรภ์ 2 ขีด ก็ยังแบ่งออกเป็นกรณีต่าง ๆ ดังนี้
ที่ตรวจครรภ์ขึ้น 2 ขีดเข้ม แสดงว่า น่าจะกำลังตั้งครรภ์ เพื่อผลลัพธ์ที่แม่นยำมากขึ้น ควรทำการตรวจใหม่อีกครั้งในอีก 2-3 วันข้างหน้าด้วยที่ตรวจครรภ์อันใหม่ หรือไปเข้ารับการตรวจโดยตรงอีกครั้งกับแพทย์
ที่ตรวจครรภ์ขึ้น 2 ขีด แต่อีกขีดหนึ่งขีดแค่เพียงจาง ๆ ก็เป็นผลลัพธ์ที่แสดงว่า น่าจะกำลังตั้งครรภ์ แต่เพื่อผลลัพธ์ที่แม่นยำมากขึ้น ควรทำการตรวจใหม่อีกครั้งในอีก 2-3 วันข้างหน้าด้วยที่ตรวจครรภ์อันใหม่ หรือไปเข้ารับการตรวจโดยตรงอีกครั้งกับแพทย์
ในกรณีที่ผลตรวจครรภ์ขึ้นเป็นบวก แต่ไม่ได้มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น สามารถเกิดขึ้นได้จริง แต่เกิดขึ้นได้น้อย ซึ่งอาจเป็นผลพวงมาจากการรับประทานยารักษาภาวะการมีบุตรยาก หรือมีปัญหาสุขภาพด้านอื่น ๆ ที่ทำให้มีเลือดหรือโปรตีนปนอยู่ในปัสสาวะ และทำให้ผลตรวจผิดเพี้ยนไป หรือที่ตรวจครรภ์อาจไม่ได้คุณภาพ
ดังนั้น เพื่อผลลัพธ์ที่แม่นยำมากขึ้น ควรทำการตรวจใหม่อีกครั้งในอีก 2-3 วันข้างหน้าด้วยที่ตรวจครรภ์อันใหม่ หรือไปเข้ารับการตรวจโดยตรงอีกครั้งกับแพทย์
หากผลจากที่ตรวจครรภ์ขึ้น 1 ขีด หรือผลเป็นลบ ก็ค่อนข้างจะแน่นอนว่าไม่ได้มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผลตรวจครรภ์ 1 ขีด ก็ยังแบ่งออกเป็นกรณีต่าง ๆ ดังนี้
มีหลายกรณีที่มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นจริง แต่คเวลาตรวจครรภ์ กลับพบว่าผลตรวจครรภ์ขึ้นเป็นลบ หรือขึ้น 1 ขีด ซึ่งก็มีคำอธิบายอยู่ด้วยกันหลายอย่าง ดังนี้
หากมั่นใจหรือเอะใจว่าน่าจะมีการตั้งครรภ์ และผลตรวจขึ้นเป็นลบ หรือขึ้นแค่ 1 ขีด ควรทำการตรวจอีกครั้งในวันถัดไปด้วยที่ตรวจครรภ์อันใหม่ หรือไปเข้ารับการตรวจโดยตรงอีกครั้งกับแพทย์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำมากขึ้น
หากตรวจฉี่แต่ผลเป็นลบ หรือผลจากที่ตรวจครรภ์ขึ้นขีดเดียว ก็อาจจะมีโอกาสท้องได้ ในกรณีที่:
ดังนั้น หากไม่มั่นใจในผลตรวจครรภ์นั้น สามารถตรวจใหม่อีกครั้งได้ในวันถัดไป โดยใช้ที่ตรวจครรภ์อันใหม่ หรือสามารถไปเข้ารับการตรวจอีกครั้งโดยตรงกับแพทย์เพื่อให้ทราบผลลัพธ์ที่แม่นยำได้
การตรวจครรภ์ในสมัยก่อนนั้น มีอยู่ด้วยกันหลากหลายวิธี ถ้าย้อนไปไกลสุดเท่าที่มีหลักฐานปรากฎไว้ก็คือในสมัยอียิปต์โบราณ หรือราว ๆ 1,350 ปีก่อนคริสตกาล จะให้ผู้หญิงปัสสาวะรดกระดาษปาปิรุสที่มีเมล็ดข้าวบาร์เลย์และเมล็ดข้าวสาลีวางเอาไว้ ซึ่งการปัสสาวะรดนี้กระดาษปาปิรุสนี้จะกินเวลาหลายวัน และจะวัดผลการตั้งครรภ์จากการที่
พอมาถึงยุคกลาง - ยุคศตวรรษที่ - ยุคศตวรรษที่ 19
ก็เริ่มมีการจำแนกสีของปัสสาวะ โดยจะมีการนำไวน์ไปผสมกับปัสสาวะเพื่อสังเกตปฏิกิริยา ซึ่งสีปัสสาวะที่มีการตั้งครรภ์ จะเป็นปัสสาวะที่มีสีซีดใสเหมือนเลมอน ไปจนถึงสีขาวนวล แต่ด้านบนของปัสสาวะจะมีสีที่ออกคล้ำขุ่น ซึ่งก็ยังไม่ถือว่ามีความแม่นยำแต่อย่างใด ดังนั้น ช่วงเวลาดังกล่าวจึงมักจะสังเกตจากอาการต่าง ๆ เช่น อาการแพ้ท้อง เป็นตัวชี้วัดสำคัญว่ามีการตั้งครรภ์หรือไม่
จนเริ่มเข้าสู่ยุคปี 1900
นักวิทยาศาสตร์เริ่มมีการศึกษาถึงฮอร์โมนต่าง ๆ ที่น่าจะมีผลต่อการตั้งครรภ์ จนในช่วงปี 1920 เซลมาร์ อัชเฮม (Selmar Aschheim) และ เบิร์นฮาร์ด ซอนเดก (Bernhard Zondek) เริ่มมีการศึกษาว่ามีฮอร์โมนเฉพาะในการตั้งครรภ์อยู่จริง (รู้จักกันในยุคหลังว่าคือฮอร์โมน hCG) โดยทำการทดลองฉีดปัสสาวะของหญิงตั้งครรภ์เข้าไปในหนูทดลอง ก่อนที่จะ มีการเปลี่ยนมาใช้กระต่าย กบ คางคก เพื่อทดลองฉีดhCGและกระตุ้นให้เกิดการตกไข่ในสัตว์เหล่านั้น
กระทั่งราวปี 1970
วงการแพทย์เริ่มมีการรณรงค์อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการคัดกรองการตั้งครรภ์เบื้องต้น และมีชุดทดสอบการตั้งครรภ์ผลิตออกมาใช้งานอย่างแพร่หลายมากขึ้น แต่ยังจำกัดอยู่ในห้องปฏิบัติการเท่านั้น ไม่สามารถนำกลับมาตรวจเองที่บ้านได้
และกว่าที่โลกจะมีชุดตรวจครรภ์ขนาดจิ๋วที่สามารถพกพาได้และใช้ตรวจเองที่บ้านได้ ก็ในปี 1979 ที่เริ่มมีการจำหน่ายชุดทดสอบการตั้งครรภ์ที่สามารถตรวจได้เองที่บ้านโดยไม่ต้องไปพบแพทย์ แบบที่พวกเราใช้กันในปัจจุบันนี้นี่เอง
จะเห็นได้ว่า กว่าจะมีที่ตรวจครรภ์ขนาดมินิให้เราได้ใช้อย่างสะดวกในทุกวันนี้ เราต้องสูญเสียเมล็ดข้าวสาลี เมล็ดข้าวบาร์เลย์ และชีวิตของหนู กระต่าย กบ คางคก ไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ถือว่าเป็นวิวัฒนาการที่ยาวนาน กว่าที่ผู้หญิงจะสามารถมีทางเลือกในการตรวจครรภ์และทางเลือกในการดำเนินชีวิตได้เฉกเช่นปัจจุบัน
ก่อนจะเริ่มทำการตรวจครรภ์ คุณแม่ควรทราบหลักทั่ว ๆ ไปในการตรวจครรภ์ก่อน ดังนี้
โดยปกติแล้วมักจะแนะนำให้ตรวจครรภ์เมื่อประจำเดือนขาด แต่อาจเกิดความสงสัยกันว่าแล้ว ประจําเดือนขาดกี่วันถึงท้อง?
ในส่วนนี้ก็จะแตกต่างกันไปค่ะ เพราะประจำเดือนของผู้หญิงแต่ละคนแตกต่างกัน ซึ่งโดยส่วนมากแล้ว หากพ้น 14 วันหลังจากที่มีไข่ตกแล้วประจำเดือนไม่มา ก็มีโอกาสสูงที่จะเกิดการตั้งครรภ์
แต่ถ้าในกรณีที่ประจำเดือนมาไม่ค่อยปกติ การนับ 14 วันหลังไข่ตก ก็อาจจะไม่ตรงกับการมีประจำเดือนในรอบต่อไป จำเป็นต้องอาศัยข้อมูลอื่น ๆ มาประกอบกัน เช่น ครั้งที่มีรอบเดือนล่าสุด วันที่คาดว่าจะมีการตกไข่ล่าสุด
การจับท้อง ไม่สามารถการันตีว่าจะตรวจพบการตั้งครรภ์ได้ เว้นเสียแต่ว่าในกรณีที่ตั้งครรภ์โดยไม่รู้ตัว และผ่านไปหลายเดือนจนกระทั่งตัวอ่อนพัฒนาเป็นทารก และเห็นความเปลี่ยนแปลงของทารกผ่านหน้าท้อง หรือรู้สึกได้ว่าลูกดิ้น กรณีเช่นนั้นก็อาจจะตรวจพบการตั้งครรภ์ได้
แต่โดยปกติแล้ว การจับท้อง ไม่สามารถบอกว่าตั้งครรภ์หรือไม่ตั้งครรภ์ได้ ทางที่ดีควรตรวจด้วยที่ตรวจครรภ์ หรือไปตรวจครรภ์กับแพทย์จะดีที่สุด
มีโอกาสเป็นไปได้ที่จะมีการตั้งครรภ์ แต่ตรวจไม่พบ แต่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยค่ะ ส่วนมากแล้วมักจะตรวจพบการตั้งครรภ์
แต่ในกรณีที่ตรวจไม่พบ อาจเกิดได้จากหลายปัจจัย ดังนี้
ท้อง 4 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน สามารถตรวจพบการตั้งครรภ์ได้ เพราะรกเริ่มมีการผลิตฮอร์โมน hCG มากขึ้น ทำให้สามารถตรวจพบได้ง่ายขึ้น
ค่าตรวจครรภ์ของแต่ละโรงพยาบาลจะแตกต่างกันไป ไม่เท่ากัน อย่างโรงพยาบาลของรัฐฯ อาจมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ 100 บาทต่อครั้ง ส่วนโรงพยาบาลเอกชน อาจมีค่าใช้จ่ายเริ่มตั้งแต่ 1,000 บาทต่อครั้ง
แต่เพื่อให้ได้ราคาที่แม่นยำที่สุด สามารถติดต่อสอบถามกับโรงพยาบาลที่สนใจจะทำการตรวจครรภ์ได้โดยตรง เพื่อให้ได้ข้อมูลและรายละเอียดอื่น ๆ ที่ตรงตามความต้องการมากที่สุด
ในกรณีที่ผลตรวจครรภ์ขึ้นเป็นบวก แต่ไม่ได้มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น สามารถเกิดขึ้นได้จริง แต่เกิดขึ้นได้น้อย
ซึ่งอาจเป็นผลพวงมาจาก
ดังนั้น เพื่อผลลัพธ์ที่แม่นยำมากขึ้น ควรทำการตรวจใหม่อีกครั้งในอีก 2-3 วันข้างหน้าด้วยที่ตรวจครรภ์อันใหม่ หรือไปเข้ารับการตรวจโดยตรงอีกครั้งกับแพทย์
การตรวจเลือดเพื่อหาการตั้งครรภ์ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ให้ผลลัพธ์ที่มีความแม่นยำสูง และให้รายละเอียดต่าง ๆ ได้มากกว่าการบอกว่าตั้งท้องหรือไม่ เพราะสามารถตรวจพบระดับฮอร์โมน hCG หรือฮอร์โมนการตั้งครรภ์ได้อย่างชัดเจนว่ามีปริมาณเท่าไหร่ ทั้งยังสามารถบอกได้ว่าขณะนี้ตั้งครรภ์กี่สัปดาห์แล้ว
เป็นไปได้หลายกรณี ไม่ว่าจะเป็น
การตรวจเลือดเพื่อหาการตั้งครรภ์ อาจจะต้องรอผลตรวจตั้งแต่ 1-3 วัน เพราะเป็นการตรวจในห้องปฏิบัติการ
ราคาในการตรวจเลือดตั้งครรภ์นั้นจะแตกต่างกันไปตามสถานพยาบาล แต่ราคาอาจเริ่มต้นที่ 1,000 บาทขึ้นไป
เพื่อให้ได้ราคาที่แม่นยำที่สุด สามารถติดต่อสอบถามกับโรงพยาบาลที่สนใจจะทำการตรวจเลือดหาการตั้งครรภ์ได้โดยตรง เพื่อให้ได้ข้อมูลและรายละเอียดอื่น ๆ ที่ตรงตามความต้องการมากที่สุด
hCG ไม่ใช่ที่ตรวจ แต่เป็นฮอร์โมน hCG หรือฮอร์โมนการตั้งครรภ์ที่เกิดจากรก ประกอบไปด้วยความยาวกรดอะมิโนจำนวน 237 ตัว ซึ่งจะฮอร์โมน hCG จะสามารถตรวจพบได้หลังจากผ่านการปฏิสนธิไปแล้ว 6 วัน
หากมีระดับ hCG สูงก็แปลว่ากำลังตั้งครรภ์ แต่ถ้าระดับ hCG อยู่ในระดับต่ำถึงต่ำมาก ก็แปลว่ายังไม่มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น ซึ่งการตรวจหา hCG นั้นจะตรวจเพื่อดักจับส่วนประกอบย่อยฮอร์โมน โดยใช้น้ำยาสำหรับตรวจหา hCG โดยเฉพาะ
ในกรณีที่ผลตรวจครรภ์ขึ้นเป็นบวก หรือขึ้น 2 ขีดเข้ม แต่ไม่ได้มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น เป็นเหตุการณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้จริง แต่เกิดขึ้นได้น้อย ซึ่งกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นได้จากหลายเหตุปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น
ดังนั้น เพื่อผลลัพธ์ที่แม่นยำมากขึ้น ควรทำการตรวจใหม่อีกครั้งในอีก 2-3 วันข้างหน้าด้วยที่ตรวจครรภ์อันใหม่ หรือไปเข้ารับการตรวจโดยตรงอีกครั้งกับแพทย์
บทความแนะนำสำหรับเตรียมพร้อมก่อนตั้งครรภ์
Enfa สรุปให้ ข้อห้ามคนท้อง ไม่ใช่การห้ามเด็ดขาดแต่เป็นข้อควรระวังเพื่อความปลอดภัย โดยเน้นการหลี...
อ่านต่อEnfa สรุปให้ การปรึกษาการตั้งครรภ์ 24 ชม. คุณแม่สามารถขอคำแนะนำจากแพทย์ได้ตลอดเวลา ผ่านบริการออ...
อ่านต่อEnfa สรุปให้ หากคุณแม่ไม่รู้ว่าท้องแล้วกินเหล้า แม้เพียงปริมาณน้อยก็อาจเสี่ยงต่อการแท้ง คลอดก่อ...
อ่านต่อ