คุณแม่ทราบกันหรือไม่ว่า กว่า 70% ของเด็กมีอาการไม่สบายท้อง โดยอาการไม่สบายท้องต่าง ๆ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำกับเด็กทุก ๆ คน เพราะระบบย่อยอาหารของเด็กนั้น ยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์เหมือนกับของผู้ใหญ่ ทำให้ย่อยโปรตีน และแลคโตสได้ไม่หมด เกิดเป็นแก๊สในระบบทางเดินอาหาร และก่อให้เกิดอาการไม่สบายท้อง ไม่ว่าจะเป็นอาการท้องผูก ท้องอืด จุกเสียด อาเจียน แหวะนม ร้องกวน โคลิก จนไปถึงปัญหาการขับถ่าย
คุณแม่ทุกคนทราบกันดีว่า นมแม่เป็นสารอาหารที่ดีที่สุดสำหรับลูกน้อย และยังย่อยได้ง่าย จึงเหมาะสำหรับระบบย่อยอาหารของเด็กเล็ก ที่ยังไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ แต่ในบางครั้ง คุณแม่อาจจะมีความจำเป็นไม่สามารถให้ลูกกินนมแม่ได้ และต้องหาทางเลือกอื่นเพื่อมาทดแทนนมแม่ การเลือกโภชนาการที่ย่อยง่ายจึงเข้ามาเป็นตัวเลือกสำคัญ เพื่อช่วยลดอาการไม่สบายท้องต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับลูกน้อยได้
เพราะระบบบการย่อยอาหารที่ดี ไม่มีอาการไม่สบายท้อง ส่งผลให้เด็กๆ สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆได้อย่างต่อเนื่อง ไม่มีสะดุด ทำให้พัฒนาการด้านต่างๆ ทั้งทางร่างกาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พัฒนาการทางสมอง สามารถเติบโตได้เต็มที่ สังเกตได้ว่า หากเด็กๆย่อยอาหารได้ดี ไม่มีปัญหาเรื่องระบบขับถ่าย จะส่งผลให้เด็กมีอารมณ์ดี แข็งแรง มีพัฒนาการด้านอื่นๆที่ก้าวล้ำ และเตรียมพร้อมสำหรับวัยเข้าเรียนและในอนาคต
ในน้ำนมแม่ มีสารอาหารชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “MFGM” หรือเยื่อหุ้มอนุภาคไขมันในน้ำนม (Milk Fat Globule Membrane) ประกอบด้วยโปรตีนและไขมันกว่า 150 ชนิด อย่างสปิงโกไมอิลีน ฟอสโฟไลปิด แกงกลิโอไซต์ เป็นต้น ซึ่งสารอาหารเหล่านี้ มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างเส้นใยประสาท (Myelin Sheath) และเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งสัญญาณประสาทเชื่อมต่อระหว่างเซลล์สมอง ช่วยให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเรียนรู้และจดจำได้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยเสริมสร้าง IQ และ EQ ของลูกน้อยให้เหนือกว่าตั้งแต่ 5 ขวบปีแรก
ไม่เพียงช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางสมองของลูกน้อยเท่านั้น แต่ MFGM ที่พบในน้ำนมแม่ยังช่วยสร้างภูมิคุ้มกันของทารกให้แข็งแรง และยังเป็นโภชนาการที่เหมาะสมกับระบบขับถ่ายของลูกน้อยได้อีกด้วย
อาการไม่สบายท้องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอาการท้องผูก ท้องอืด ท้องเฟ้อ จนไปถึงอาเจียน หรือแหวะนม ต่างเป็นอาการที่สร้างความไม่สบายตัวให้กับลูกน้อย เกิดการร้องไห้ ร้องกวน งอแงตามมา ซึ่งจะส่งผลให้ลูกมีอารมณ์ไม่ดี หงุดหงิดกับอาการไม่สบายท้องที่เกิดขึ้น และทำให้การเรียนรู้ของลูกน้อยสะดุด มีพัฒนาการการเรียนรู้ด้านต่าง ๆ ที่ไม่ต่อเนื่อง ส่งผลเสียทั้งทางสุขภาพ และพัฒนาการไปพร้อม ๆ กัน
อาการไม่สบายท้องป้องกันได้ รู้จักกับโภชนาการที่ย่อยง่ายตัวช่วยให้ท้องสบาย ขับถ่ายคล่อง เพื่อการเรียนรู้แบบไม่สะดุดนมแม่นั้นเป็นอาหารล้ำค่าที่ไม่เพียงจะอุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญหลายชนิด แต่ยังดีต่อระบบการย่อยอาหารของลูกน้อยที่ยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ แต่ในกรณีที่คุณแม่ไม่สามารถให้นมแม่ได้ และต้องหาทางเลือกอื่นเพื่อมาทดแทนนมแม่ การเลือกโภชนาการที่เหมาะสมกับระบบย่อยที่ยังไม่สมบูรณ์ของลูกน้อยจึงเป็นสิ่งสำคัญ คุณแม่ควรเลือกโภชนาการที่ย่อยง่ายที่มีคุณสมบัติต่าง ๆ ดังนี้
• มีโปรตีนผ่านการย่อยบางส่วน หรือ PHP (Partially Hydrolyzed Protein): โปรตีนที่ผ่านการย่อยบางส่วนจะมีขนาดโมเลกุลเล็กลง ทำให้ย่อยง่าย และถูกดูดซึมที่ลำไส้ได้ง่ายขึ้น มีงานวิจัยรองรับว่า PHP ช่วยลดอาการไม่สบายท้อง ลดแก๊ส ลดร้องกวน ลดอาการแหวะนมได้ภายใน 24 ชั่วโมง เมื่อลูกสบายท้อง ก็จะช่วยให้นอนหลับได้ดีมีคุณภาพ ซึ่งเป็นการส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญา นอกจากนี้ PHP ยังช่วยให้อุจจาระอ่อนนุ่มคงตัว ไม่แข็ง ทำให้ขับถ่ายได้ง่าย
• มีปริมาณน้ำตาลแลคโตสต่ำกว่าโภชนาการปกติ: การมีน้ำตาลแลคโตสในปริมาณน้อย จะช่วยลดอาการท้องเสียจากการย่อยแลคโตสผิดปกติ
• อุดมด้วยสารอาหารสำคัญเพื่อพัฒนาการที่ก้าวล้ำ: โภชนาการทั้งหมดที่เลือกไม่เพียงแต่จะต้องมีโปรตีนที่ย่อยง่าย แต่ยังควรมีสารอาหารสำคัญนานาชนิด ที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการที่รอบด้านของลูกน้อย ทั้งพัฒนาการสมอง (IQ และ EQ) ภูมิคุ้มกัน และระบบทางเดินอาหาร อาทิเช่น MFGM เยื่อหุ้มอนุภาคไขมันที่พบในนมแม่ และ DHA
เพราะอาการไม่สบายท้องพบได้มากถึง 70% ไม่ว่าจะเป็นอาการท้องอืด ร้องกวน แหวะนม ท้องผูก ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้เขาไม่สบายตัว งอแง อารมณ์ไม่ดี แต่ยังเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ของลูกน้อยด้วยเช่นกัน คุณสามารถป้องกันและลดอาการเหล่านี้ได้ เพียงเลือกโภชนาการที่ย่อยง่าย เพื่อให้ลูกท้องสบาย เรียนรู้ได้ไม่สิ้นสุด
สำหรับเด็กเล็กแล้ว จะมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะการถ่ายอุจจาระในช่วงแรก โดยหลังคลอด ลูกน้อยจะถ่ายอุจจาระที่เรียกว่า ขี้เทา เป็นระยะเวลา 2 – 3 วัน หลังจากนั้น อุจจาระก็จะเปลี่ยนสี เช่น สีเหลือง สีเขียว สีส้ม เป็นต้น โดยลูกน้อยจะมีความถี่ในการถ่าย ตามช่วงอายุ ดังนี้
ประเภทนม |
ช่วง 1 – 3 วันแรก หลังคลอด |
6 สัปดาห์แรก |
หลังเริ่มกินอาหารเสริมนอกเหนือจากนมแม่ |
เด็กที่กินนมแม่ |
ในช่วง 24 – 48 ชั่วโมงแรก จะอุจจาระออกมาเป็น สีเทา หรือขี้เทา และอุจจาระจะเปลี่ยนสีเป็น สีเขียว หรือเหลือง ในวันที่ 4 เป็นต้นไป |
อุจจาระนิ่ม หรือเหลว มีสีเหลือง อาจจะถ่ายอย่างน้อย 3 ครั้งต่อวัน ในเด็กบางคนอาจจะถ่าย 4 – 12 ครั้งต่อวัน หลังจาก 6 สัปดาห์ เด็กทารกจะถ่ายทุก ๆ 2 – 3 วัน
|
จะเริ่มถ่ายมากขึ้นจากเดิม และอุจจาระจะเปลี่ยนเป็นลักษณะที่แข็งขึ้น |
เด็กที่กินนมผง |
อุจจาระจะมีสีน้ำตาล หรือสีเขียว ในช่วงแรกอาจจะถ่ายอย่างน้อย 1 – 4 ครั้งต่อวัน หลังจาก 1 เดือนแรก เด็กทารกจะเปลี่ยนการถ่ายเป็นวันเว้นวัน
|
จะถ่ายประมาณ 1 – 2 ครั้ง ต่อวัน |
หากคุณแม่พบว่าลูกท้องผูก ลูกไม่ถ่ายหลายวัน คุณแม่สามารถบรรเทาอาการท้องผูกของลูกน้อยได้ ดังนี้
1. การนวดท้อง การนวดท้องสามารถช่วยบรรเทาอาการท้องผูกได้ ซึ่งเหมาะสำหรับเด็กอายุ 6 สัปดาห์ขึ้นไป โดยการนวดท้องจะช่วยกระตุ้นให้ลำไส้เกิดการเคลื่อนที่ คุณแม่สามารถนวดท้องให้ลูกน้อยได้ง่าย ๆ ด้วยการนวดเบา ๆ บริเวณหน้าท้อง หมุนเป็นวงกลมทวนเข็มนาฬิกา นอกจากนี้ การเคลื่อนไหวร่างกาย อาทิ การจับนอนราบกับพื้น ยกขาทั้งสองข้างขึ้น ทำท่าปั่นจักรยาน ก็ช่วยได้เช่นกัน
2. เปลี่ยนนม ในกรณีที่คุณแม่มีความจำเป็นต้องให้นมผง เพื่อทดแทนนมแม่ คุณแม่ควรเลือกนมที่มี PHP (Partially Hydrolyzed Protein) หรือโปรตีนที่ผ่านการย่อยบางส่วน ทำให้มีโมเลกุลขนาดเล็ก ย่อยได้ง่าย และดูดซึมได้ดี จึงช่วยลดอาการไม่สบายท้องได้เป็นอย่างดีภายใน 24 ชั่วโมง ทำให้อุจจาระของลูกน้อยมีลักษณะอ่อนนุ่ม ไม่แข็ง ขับถ่ายได้ง่าย
3. ปรับเปลี่ยนอาหาร สำหรับเด็กเล็กที่เริ่มกินอาหารเสริมเพิ่มเติม นอกเหนือจากนมแม่ รวมทั้งเด็กโตที่สามารถรับประทานอาหารแข็งได้เป็นปกติเหมือนกับผู้ใหญ่ ลองปรับเปลี่ยนให้ลูกกินอาหารที่มีไฟเบอร์ หรือเส้นใยประกอบมากขึ้น อย่างผัก และผลไม้ต่าง ๆ เช่น แอปเปิล ลูกแพร์ ลูกพรุน รวมทั้งหมั่นให้ลูกน้อยได้ดื่มน้ำให้เหมาะสมกับที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน
นอกจากนี้ การออกกำลังกาย หรือเคลื่อนไหวร่างกาย ยังสามารถช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หากบรรเทาอาการเบื้องต้นแล้ว ไม่ได้ผล คุณแม่ควรพาลูกไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวินิจฉัยสาเหตุ และทำการรักษาต่อไป
หากลูกน้อยมีอาการอาเจียนติดต่อกันเป็นเวลานาน 1 – 2 วัน อาเจียนบ่อยจนผิดปกติ หรืออาเจียนและมีไข้ร่วมด้วย อาจจะเป็นสัญญาณว่าลูกมีอาการติดเชื้อ หรืออาการเจ็บป่วยอื่น ๆ ควรพาลูกน้อยไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษา ไม่ควรรักษาด้วยตัวเอง
โดยปกติแล้ว เด็กเล็กในวัยที่ยังไม่สามารถสื่อสารออกมาเป็นภาษาได้ จะใช้การร้องไห้เป็นการสื่อสารกับคนรอบข้าง เพื่อบอกสิ่งที่ต้องการ หรือสิ่งที่ทำให้ไม่สบายตัว โดยสาเหตุที่ลูกร้องไห้ มีด้วยกันหลายสาเหตุ เช่น
• หิว
• อึดอัด ไม่สบายตัว ต้องการเปลี่ยนผ้าอ้อม
• เบื่อหน่าย เหนื่อยหล้า ต้องการให้มีคนมาปลอบ กอด อุ้ม หรือเล่นด้วย
• มีสิ่งเร้ารอบตัวมากเกินไป เช่น แสงสว่าง ลม อากาศ
• มีอาการไม่สบายท้อง เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูก ปวดท้อง
• หากเกิดขึ้นกับเด็กเล็กในวัยระหว่างแรกเกิด – 6 เดือน อาจจะเป็นโคลิก
มหาหิงค์คือยาชนิดหนึ่ง ซึ่งมีส่วนผสมของชันน้ำมัน หรือยางจากลำต้น และรากของพืชในตระกูล Ferula โดยมีสรรพคุณบรรเทาอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ คุณแม่สามารถใช้มหาหิงค์บรรเทาอาการข้างต้นได้ ด้วยการชุบสำลี ทาที่หน้าท้อง รอบสะดือ ต้นขา และฝ่าเท้าของลูกน้อย
อย่างไรก็ตาม การใช้มหาหิงคุ์เป็นการช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง เป็นการบรรเทาอาการชั่วคราว คุณแม่ควรบรรเทาอาการเหล่านี้ ด้วยการหาสาเหตุที่แน่ชัด เช่น
• หากลูกท้องอืด ท้องเฟ้อ จากการดื่มนมเร็ว หรือช้าไป ทำให้กลืนอากาศเข้าไปด้วย ควรปรับเปลี่ยนท่าให้นม หรือจุกขวดนมที่เหมาะสม ในกรณีที่คุณแม่มีความจำเป็นต้องให้นมผง เพื่อทดแทนนมแม่ ระหว่างการผสมนมควรปล่อยให้ฟองอากาศที่เกิดขึ้นระหว่างการชงแตกตัวเสียก่อนที่จะให้ลูกน้อยดื่ม
• หมั่นจับลูกเรอทุกครั้ง หลังการกินนมเสร็จ เพื่อเป็นการระบายแก๊สที่สะสมออกจากกระเพาะ
• หลีกเลี่ยงอาการที่ก่อให้เกิดแก๊สในกระเพาะ สำหรับแม่ที่ให้นมลูก หรือเด็กเล็กที่สามารถเริ่มกินอาหารแข็งได้แล้ว การหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดแก๊ส เช่น ถั่วชนิดต่าง ๆ ผักบางชนิด ก็จะสามารถช่วยป้องกันอาการท้องอืด ท้องเฟ้อได้ ในกรณีที่คุณแม่มีความจำเป็นที่ทำให้ไม่สามารถให้นมแม่ได้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้ลูกได้รับการวินิจฉัยอย่างถูกต้อง
• หากอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ของลูกน้อยไม่ดีขึ้น ควรพาลูกน้อยไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอาการ และทำการรักษาต่อไป