![](/sites/thailand/files/c-section-desktop-article-banner.jpg)
![](/sites/thailand/files/c-section-mobile-top-article-banner.jpg)
คุณอาจเคยได้ยินว่า ช่วงตั้งครรภ์คุณแม่มักจะมีน้ำหนักขึ้นประมาณ 10 กิโลกรัม แต่ความจริงแล้วน้ำหนักที่เหมาะสมช่วงตั้งครรภ์ ขึ้นอยู่กับดัชนีมวลกาย (BMI) ของแต่ละคน เครื่องมือวัดดัชนีมวลกาย และตารางน้ำหนักมาตรฐาน จะทำให้คุณดูแลร่างการของคุณได้อย่างเหมาะสม
หมายเหตุ: ตารางนี้แสดงน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น สำหรับการตั้งครรภ์ของทารกคนเดียว
Key Highlight
What's up here?
• ทำความเข้าใจกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นระหว่างตั้งครรภ์
• น้ำหนักคนท้อง ควรเป็นเท่าไหร่
• BMI หญิงตั้งครรภ์
• คนท้องน้ำหนักขึ้นกี่โล
• น้ำหนักแม่ตั้งครรภ์ คำนวณอย่างไร
• น้ำหนักหญิงตั้งครรภ์แต่ละไตรมาส
• วิธีดูแลน้ำหนักระหว่างตั้งครรภ์
• สาเหตุที่คนท้องน้ำหนักลด
• สาเหตุที่คนท้องน้ำหนักขึ้น
• ไขข้อข้องใจเรื่องน้ำหนักคนท้องกับ Enfa Smart Club
ช่วงตั้งครรภ์ คุณแม่จะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 10-16 กิโลกรัม ซึ่งการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักนั้นมีนัยสำคัญและมีที่มาที่ไป คุณแม่ที่มีน้ำหนักตัวมากเกินไปหรือน้อยเกินไป ถือว่ามีความเสี่ยงต่อสุขภาพของแม่และเด็กทั้งในช่วงที่กำลังตั้งครรภ์ ขณะคลอด และหลังคลอด
บทความนี้จาก Enfa จะพาคุณแม่มาดูกันว่า เมื่อวัดจากโปรแกรมคำนวณน้ำหนักคนท้องแล้ว น้ำหนักของคุณแม่ยังอยู่ในเกณฑ์หรือไม่ น้ำหนักคนท้อง ควรเป็นเท่าไหร่ และBMI หญิงตั้งครรภ์ ที่เหมาะสมควรเป็นอย่างไร
การเพิ่มน้ำหนักในขณะที่กำลังตั้งครรภ์ ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่คุณแม่ไม่สามารถมองข้ามได้ เพราะน้ำหนักตัวขณะตั้งครรภ์ที่ตามเกณฑ์ จะสามารถช่วยให้ทารกมีสุขภาพสมบูรณ์เมื่อคลอดบุตร และคุณแม่มีน้ำนมพร้อมสำหรับดูแลลูก
ถ้าหากคุณแม่มีน้ำหนักตัวน้อยกว่าที่เกณฑ์แนะนำเอาไว้ ก็เป็นไปได้ว่าคุณแม่จะคลอดทารกที่มีขนาดตัวเล็กเกินไป และทารกน้ำหนักแรกเกิดที่มีน้ำหนักตัวน้อย ก็อาจจะมีปัญหาในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และอาจมีความเสี่ยงที่จะเจ็บป่วยเพิ่มขึ้น ทั้งยังเสี่ยงที่จะมีพัฒนาการล่าช้า ไม่เติบโตตามวัยด้วย
แต่ถ้าหากคุณแม่มีน้ำหนักตัวสูงเกินกว่าที่เกณฑ์แนะนำเอาไว้ ก็เป็นไปได้ว่าคุณแม่จะคลอดทารกที่มีขนาดตัวใหญ่เกินไป ซึ่งเสี่ยงที่จะนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนจากการคลอดหรือการผ่าตัดคลอด ทั้งยังเสี่ยงต่อภาวะความดันโลหิตสูงที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ และโรคอ้วนในเด็ก
น้ำหนักคนท้องแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน เพราะพื้นฐานน้ำหนักเดิมของคนท้องแต่ละคนไม่เหมือนกัน จำเป็นจะต้องคำนวณหาค่าดัชนีมวลกายหรือ BMI ให้เรียบร้อยก่อน จึงจะเห็นภาพว่าคุณแม่ควรจะเพิ่มน้ำหนักขึ้นเท่าไหร่ แต่โดยทั่วไปแล้ว น้ำหนักคนท้องจะเพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 10-16 กิโลกรัม ในกรณีที่น้ำหนักก่อนตั้งครรภ์อยู่ในเกณฑ์ปกติ
ก่อนที่คุณแม่จะทราบว่าน้ำหนักของตัวเองนั้นตามเกณฑ์หรือไม่ แล้วน้ำหนักที่ควรเพิ่มขณะตั้งครรภ์ควรจะเป็นเท่าไหร่ คุณแม่จะต้องทราบข้อมูลสำคัญในการคำนวณหาน้ำหนักคนท้องที่เหมาะสมอย่าง ค่าดัชนีมวลกาย หรือ BMI เสียก่อน โดยวิธีการคำนวณง่าย ๆ ก็คือ
ค่าดัชนีมวลกาย BMI = น้ำหนักตัว[กิโลกรัม]
ส่วนสูง[เมตร] ยกกำลังสอง
ก็จะได้เป็น 60 กิโลกรัม / 1.75 เมตร x 1.75 เมตร = 19.5 ก็จะได้ค่า BMI อยู่ระหว่าง 18.5-24.9 มีน้ำหนักตามเกณฑ์ปกติ
หรือเพื่อความสะดวก คุณแม่สามารถทดลองใช้โปรแกรมคำนวณหาค่าดัชนีมวลกาย BMI เพื่อหาค่า BMI ของตนเองได้
เมื่อได้ค่า BMI มาเรียบร้อยแล้ว คุณแม่ก็สามารถนำมาเทียบกับตารางด้านล่าง เพื่อดูว่าค่าBMI ของตนเองนั้น มากหรือน้อยกว่าเกณฑ์
โดยทั่วไปแล้ว น้ำหนักคนท้องจะเพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 10-16 กิโลกรัม โดยจะเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสแรก 1-2 กิโลกรัม และหลังจากนั้นจะเพิ่มขึ้นประมาณ 0.5 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ไปจนกระทั่งคลอด ในกรณีดัชนีมวลกายก่อนตั้งครรภ์อยู่ในเกณฑ์ปกติ
การคำนวณหาน้ำหนักของแม่ตั้งครรภ์นั้น ใช้สูตรเดียวกับการหาค่าดัชนีมวลกาย BMI ดังนี้
ค่าดัชนีมวลกาย BMI = น้ำหนักตัว[กิโลกรัม]
ส่วนสูง[เมตร] ยกกำลังสอง
ยกตัวอย่างเช่น คุณแม่หนัก 60 กิโลกรัม สูง 175 เซนติเมตร
ก็จะได้เป็น 60 กิโลกรัม / 1.75 เมตร x 1.75 เมตร = 19.5 ก็จะได้ค่า BMI อยู่ระหว่าง 18.5-24.9 มีน้ำหนักตามเกณฑ์ปกติ
หรือเพื่อความสะดวกคุณแม่สามารถที่จะคำนวณโดยใช้โปรแกรมคำนวณหาค่าBMI เลยก็ได้เช่นกัน
ข้อสำคัญคือต้องมีค่า BMI เมื่อได้ค่า BMI มาแล้ว ก็สามารถนำมาเทียบกับตารางเพื่อดูว่าน้ำหนักของคุณแม่ต่ำกว่าเกณฑ์ อยู่ในเกณฑ์ปกติ หรือมากกว่าเกณฑ์ และดูว่าค่าเฉลี่ยน BMI เท่านี้ ควรจะเพิ่มน้ำหนักตอนตั้งครรภ์ให้ได้เท่าไหร่ ดังตารางด้านล่างนี้
น้ำหนักของคุณแม่ในแต่ละไตรมาสจะมีความแตกต่างกันไป ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าคุณแม่แต่ละคนมีปัจจัยทางร่างกายที่แตกต่างกัน น้ำหนักตัวต่างกัน ค่าBMI ต่างกัน ระบบเผาผลาญต่างกัน ทำให้น้ำหนักตัวของคุณแม่ในแต่ละไตรมาสก็จะต่างกันไปด้วย
แต่โดยทั่วไปแล้ว สำหรับคุณแม่ที่มีค่า BMI ปกติ จะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นในแต่ละไตรมาส ดังนี้
ในช่วงไตรมาสที่สามคุณแม่บางคนมีน้ำหนักที่ลดลง หากน้ำหนักลดลงเพียงเล็กน้อย ก็อย่าตกใจ ถือเป็นเรื่องปกติค่ะ แต่หากน้ำหนักลดลงมากในไตรมาสที่ 3 ควรไปพบแพทย์ เนื่องจากอาจจะมีความผิดปกติกับทารกในครรภ์ได้
ขณะตั้งครรภ์ คุณแม่จำเป็นที่จะต้องควบคุมน้ำหนักตอนท้องให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมกับค่าBMIของตัวเอง เพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพของทารก และลดความเสี่ยงต่อสุขภาพคุณแม่
โดยคุณแม่สามารถดูแลน้ำหนักขณะตั้งท้องได้ง่าย ๆ ดังนี้
คนท้องน้ำหนักลด อาจจะต้องแยกออกเป็นกรณีไป เพราะไม่สามารถนำมาพิจารณารวมเป็นเรื่องเดียวกันได้
กรณีแรก คุณแม่มีน้ำหนักมากกว่าเกณฑ์ หรือเป็นโรคอ้วน ในที่นี้ การควบคุมน้ำหนักให้ขึ้นตามเกณฑ์ อาจเป็นเรื่องที่จำเป็นต่อสุขภาพของแม่และทารกในครรภ์ และลดความเสี่ยงของภาวะครรภ์เป็นพิษ เบาหวานขณะตั้งครรภ์ รวมทั้งลดความเสี่ยงของการต้องผ่าคลอดเนื่องจากทารกมีขนาดตัวมากเกินไป อย่างไรก็ตาม ไม่แนะนำให้ลดน้ำหนักขณะตั้งครรภ์
กรณีที่สอง คุณแม่มีน้ำหนักตามเกณฑ์ปกติ หรือมีน้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์ กรณีนี้หากน้ำหนักลดลงจนผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีที่สังเกตได้ถึงความผิดปกตินี้
กรณีที่สาม น้ำหนักคุณแม่ลดลงในช่วงไตรมาสที่สาม ซึ่งกรณีนี้สามารถพบได้บ่อย และเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้
อย่างไรก็ตาม น้ำหนักคุณแม่ไม่ควรลดมากเกินไป หากลดมากเกินไปควรไปพบแพทย์
คนท้องน้ำหนักขึ้น เกิดจากหลายสาเหตุ ดังนี้
กรณีแรก แม่ทุกคนจำเป็นต้องเพิ่มน้ำหนักตัวให้เหมาะสมกับค่า BMI เพื่อให้สุขภาพของแม่และทารกสามารถประคับประคองไปได้อย่างปลอดภัยจนกระทั่งคลอด การมีน้ำหนักตัวที่น้อยเกินไปขณะตั้งครรภ์ เสี่ยงต่อสุขภาพของทารกเป็นอย่างมาก จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนท้องถึงน้ำหนักขึ้น
กรณีที่สอง ทารกมีมีขนาดตัวที่ใหญ่ขึ้นตามลำดับ แน่นอนว่าขนาดตัวที่เปลี่ยนไป ก็ทำให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้นด้วย โดยน้ำหนักตัวของทารกจะอยู่ระหว่าง 3-3.5 กิโลกรัม
มากไปกว่านั้น เจ้าตัวเล็กยังนำพาเอาพลพรรคของตนเองมาทำให้น้ำหนักของคุณแม่เพิ่มขึ้นด้วย ได้แก่
คนท้องไม่ควรลดน้ำหนักไม่ว่าจะในไตรมาสใดของการตั้งครรภ์ก็ตาม ยกเว้นเสียแต่ว่า คุณแม่จะมีน้ำหนักตัวมากกว่าเกณฑ์ หรือเป็นโรคอ้วน กรณีนี้คุณหมออาจจำเป็นจะต้องขอให้คุณแม่พยายามควบคุมน้ำหนักให้เพิ่มอย่างเหมาะสม เพราะเป็นผลดีต่อแม่และทารกในครรภ์มากกว่า
คนท้องจะเริ่มน้ำหนักขึ้นตั้งแต่ไตรมาสแรก แต่เนื่องจากทารกยังมีขนาดตัวเล็กอยู่ ในไตรมาสแรกจึงอาจมีน้ำหนักขึ้นเพียง 1-2 กิโลกรัม หรืออาจจะมีน้ำหนักลดลงได้เล็กน้อย เนื่องจากคุณแม่มีอาการแพ้ท้องในไตรมาสแรก
กรณีที่หากพูดถึงในแง่ของรูปร่าง คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเรื่องปกติที่คุณแม่จะต้องมีรูปร่างที่ใหญ่ขึ้น เนื่องจากทารกมีขนาดตัวที่เพิ่มขึ้นในทุก ๆ ไตรมาส และใหญ่ที่สุดในช่วงไตรมาสที่ 3 จึงทำให้คุณแม่ดูอ้วนหรืออวบขึ้น สิ่งที่คุณแม่ทำได้ ไม่ใช่การลดน้ำหนักตอนท้อง แต่ควรควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมกับค่า BMI ของตัวเอง เพื่อป้องกันโรคอ้วนหรือเบาหวานขณะตั้งครรภ์
โดยสามารถควบคุมน้ำหนักได้ง่าย ๆ ดังนี้
น้ำหนักคนท้องในไตรมาส 3 นั้นจะแตกต่างกันไป เพราะแม่แต่ละคนมีน้ำหนักตัวตั้งแต่ก่อนที่จะตั้งครรภ์ต่างกัน ทั้งยังมีค่า BMI ต่างกัน ทำให้น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 3 แตกต่างกันไป
แต่สำหรับคุณแม่ที่มีค่า BMI ปกติ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายซึ่งเป็นช่วงที่ทารกมีขนาดตัวที่พร้อมสำหรับการคลอดที่เริ่มใกล้มาถึง คุณแม่จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นระหว่าง 3.5-4.5 กิโลกรัม ในช่วงไตรมาสที่ 3
น้ำหนักคนท้องในแต่ละเดือนนั้นจะแตกต่างกันไป เพราะแม่แต่ละคนมีน้ำหนักตัวตั้งแต่ก่อนที่จะตั้งครรภ์ต่างกัน ทั้งยังมีค่า BMI ต่างกัน ทำให้น้ำหนักของคุณแม่แต่ละคนในแต่ละเดือนไม่เหมือนกัน
แต่ช่วง 6 เดือนนี้ นับเป็นไตรมาสที่ 2 ในระยะนี้ทารกมีขนาดตัวที่โตขึ้น ทำให้คุณแม่ที่มีค่า BMI ปกติ อาจจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นประมาณ 5-6 กิโลกรัม โดยเฉลี่ยน้ำหนักจะขึ้นประมาณ 1.5 - 2 กิโลกรัมใน 1 เดือน ในคุณแม่ที่น้ำหนักก่อนตั้งครรภ์อยู่ในเกณฑ์ปกติ
น้ำหนักคนท้องในแต่ละเดือนนั้นจะแตกต่างกันไป เพราะแม่แต่ละคนมีน้ำหนักตัวตั้งแต่ก่อนที่จะตั้งครรภ์ต่างกัน ทั้งยังมีค่า BMI ต่างกัน ทำให้น้ำหนักของคุณแม่แต่ละคนในแต่ละเดือนไม่เหมือนกัน
แต่ช่วง 8 เดือนนี้ นับเป็นไตรมาสที่ 3 ซึ่งเป็นช่วงที่ทารกมีขนาดตัวที่พร้อมสำหรับการคลอดที่เริ่มใกล้มาถึง สำหรับคุณแม่ที่มีค่า BMI ปกติ ก็จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นระหว่าง 3.5-4.5 กิโลกรัม
บทความแนะนำสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์