ด้านสติปัญญาและการเรียนรู้
ต่อบล็อก เลโก้ ปั้นดินน้ำมัน...พัฒนาการเรียนรู้ลูก
บล็อก เลโก้ และการปั้นดินน้ำมัน เป็นของเล่นที่มีประโยชน์กับเด็กๆ ในหลายด้าน เป็นของเล่นที่ควรให้เด็กได้เล่นเป็นประจำ ช่วยให้เด็กๆ คุ้นเคยกับการเรียนรู้เกี่ยวกับพื้นที่ การจัดวาง การกะระยะ การสร้างสิ่งประดิษฐ์ที่เกิดจากความคิด เด็กๆ จะเรียนรู้เกี่ยวกับรูปทรง ความพอเหมาะพอดีที่จะจัดวางบล็อกแต่ละชิ้นเพื่อมาประกอบกันให้เป็นไปตามต้องการ
การให้เด็กๆ ได้ทำงานปั้น เช่น ปั้นแป้งโดว์ ปั้นดินเหนียว ดินน้ำมัน ก็ทำให้เด็กๆ เรียนรู้ที่จะสร้างสรรค์งานที่มีลักษณะเป็นสามมิติจากความคิดของเด็กๆ คล้ายกับการต่อบล็อกเช่นกัน แต่ต่างกันตรงที่งานปั้นนั้นเด็กๆ จะสร้างรูปฟอร์มต่างๆที่เป็นอิสระด้วยตนเอง ส่วนบล็อกนั้นเด็กๆ จะเรียนรู้รูปทรงที่ตายตัว รูปทรงเรขาคณิตต่างๆ เด็กๆ จะเพลิดเพลินกับงานปั้นตามจินตนาการอย่างอิสระ โดยที่คุณแม่ต้องไม่คาดหวังผลงานว่าจะได้ออกมาเหมือนจริง แต่การที่ลูกได้ลงมือปั้นจนมีผลงานอออกมาเท่ากับว่าลูกได้ใช้สมองและความคิดสร้างสรรค์ต่อชิ้นงานแล้ว
อีกทั้งกิจกรรมเหล่านี้ ยังทำให้เด็กมีความจดจ่อ เกิดสมาธิ ส่งผลต่อการเรียนรู้และการทำงานของสมอง
ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว
ปล่อยลูกเคลื่อนไหวอิสระในสนาม
เด็กๆ นั้นชอบเคลื่อนไหวร่างกาย คุณแม่ลองเปลี่ยนบรรยากาศพาเด็กๆ ออกมาเล่นสนุกที่สนามเพื่อต่อยอดจินตนาการให้กับพวกเขากันนะคะ
ลูกน้อยในช่วงวัยนี้ มีกล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่พัฒนาแล้ว ถ้าลูกจะวิ่ง ปีนป่ายที่ลาดเอียง เล่นเตะบอล คุณแม่ก็สามารถปล่อยให้ลูกวิ่งเล่นอย่างอิสระ โยนบอล วิ่งไล่จับ เล่นซ่อนหา และกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าได้ชวนเพื่อนๆ มาร่วมเล่นก็จะเป็นการดี เป็นการสร้างเพื่อนใหม่ให้ลูก การเล่นเป็นกลุ่มเป็นเรื่องสำคัญ จากลูกคนเดียวที่เล่นกับเพื่อนไม่เป็น ไม่แบ่งของ กลายเป็นเด็กที่มีเพื่อน แถมยังได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกับคนอื่นด้วย
นอกจากจะวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานแล้ว ลูกอาจพาสัตว์เลี้ยงอย่างสุนัข หรือกระต่ายมาร่วมวิ่งเล่นด้วย ก็ยิ่งเพิ่มความสนุกเข้าไปมากขึ้น การปล่อยให้ลูกเล่นในสนาม นอกจากลูกได้เล่นสนุกกลางแจ้งรับวิตามินดีจากแสงแดด แล้วยังช่วยให้ลูกได้เพิ่มพูนประสบการณ์และใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้นด้วยค่ะ
ด้านภาษาและการสื่อสาร
สอนลูกดูภาพ เรียกชื่อ
ในช่วงวัยนี้เป็นช่วงที่ลูกเริ่มเข้าใจความหมายของคำต่างๆ มากขึ้น คุณแม่ควรส่งเสริมด้วยการหาหนังสือภาพต่างๆ มาให้ลูกดู คุณแม่ก็คุยหรือบอกเรื่องราวเกี่ยวกับภาพนั้นให้เขาฟัง บอกให้เขารู้ว่านั่นมันคือตัวอะไร หรือคนในภาพนั้นกำลังทำอะไรอยู่ ลูกจะรู้สึกสนุกกับการดูและชี้ภาพนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อฟังเรื่องราวจากคุณแม่ เมื่อเวลาผ่านไป หากเด็กได้กลับมาดูหนังสือนั้นอีกครั้ง เมื่อเจอภาพที่คุ้นตา เขาก็จะพูดคำศัพท์และเรื่องราวที่เคยได้ยินจากคุณแม่ออกมาได้
คุณแม่อาจเล่นเกมทายคำศัพท์กับลูกบ่อยๆ ซึ่งสามารถทำได้ทั้งคำศัพท์ง่ายๆ อย่างการเรียกสัตว์ชนิดต่างๆ เช่น หมู กา ไก่ และควรฝึกให้ลูกเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษไปพร้อมๆ กันด้วย เพื่อทำให้ลูกได้ฝึกความสามารถทางภาษาและเรียนรู้สิ่งต่างๆ ผ่านการคิด เป็นการพัฒนาสติปัญญา
นอกจากหนังสือเด็กแล้ว ยังมีหนังสืออื่นๆ ที่สามารถให้ลูกน้อยดูได้ เช่น นิตยสาร วารสาร หรือภาพโปสเตอร์ ที่มีภาพสิ่งของรอบๆ ตัว เพื่อให้ลูกเชื่อมโยงระหว่างภาพในหนังสือกับสิ่งของจริงๆ ได้ และถ้าลูกได้เห็นของจริงด้วย ก็จะยิ่งช่วยให้เกิดการเรียนรู้ได้เร็วกว่าการได้เห็นแต่ในรูปภาพเพียงอย่างเดียวค่ะ
ด้านอารมณ์และสังคม
เคล็ดลับสอนลูกรู้จักใช้ข้าวของ
เด็กวัยนี้จะเรียนรู้โดยผ่านการเลียนแบบจากคุณพ่อคุณแม่และคนใกล้ชิด เด็กจะเรียนรู้ทั้งความรู้สึกนึกคิด และการกระทำ ดังนั้นหากคุณแม่ต้องการให้ลูกรู้จักใช้ข้าวของอย่างมีเหตุผล ไม่ฟุ่มเฟือย คุณแม่ก็ต้องเป็นแบบอย่างค่ะ
ตัวอย่างเช่น เวลาพาลูกไปซื้อของ ให้ซื้อเท่าที่จำเป็น คุณแม่จะเป็นต้นแบบของการใช้เงินที่ดีให้แก่ลูก เท่ากับฝึกให้ลูกคิดอย่างมีเหตุผลในการใช้เงินและเลือกสิ่งของ เช่น การเลือกเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้แค่พอดีและเหมาะสมแก่ราคา หรือแม้แต่เวลาเลือกซื้อของเล่น ไม่ควรซื้อของราคาแพงเพราะเด็กเล่นไม่นานก็จะเบื่อ หรือในเรื่องการกิน คุณแม่ควรฝึกลูกให้เลือกกินแต่พอดีที่อิ่ม ไม่กินทิ้งกินขว้างค่ะ
สิ่งสำคัญที่ควรจะฝึกลูกก็คือ ควรฝึกให้ลูกรู้จักเก็บรักษาของตนเอง ของผู้อื่น และของส่วนรวม เช่น เล่นของเล่นแล้วเก็บเข้าที่ เป็นตัวอย่างและสอนเขาในเรื่องง่ายๆ ในบ้าน เช่น ไม่เปิดน้ำทิ้ง ปิดไฟเมื่อไม่ใช้งาน เป็นต้น
หากได้รับการฝึกตั้งแต่แต่เด็กลูกน้อยก็จะมีคุณสมบัติที่รู้จักใช้ข้าวของ ไม่ฟุ่มเฟือยได้ค่ะ