เพราะโลกของเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โลกยุคนี้เต็มไปด้วยความหลากหลายที่แตกต่างไปจากโลกที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นด้านอาชีพ การศึกษา และการใช้ชีวิต คนที่ปรับตัวไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เด็กที่มีความเก่งหรือฉลาดทางวิชาการเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีทักษะอื่นๆ เลย อาจไม่เพียงพอที่จะทำให้ชีวิตพบความสำเร็จหรือมีความสุข เพราะในอนาคตทักษะที่เด็กจำเป็นต้องใช้ในการดำเนินชีวิตจะแตกต่างออกไปตามความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เด็กจึงต้องมีทักษะที่หลากหลายขึ้น ต้องมีทั้งหัวคิดหรือความฉลาด และหัวใจหรือการจิตใจที่ดี คิดถึงคนอื่นด้วย เพื่อจะได้มีชีวิตที่ความสุข

รศ.นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ได้บอกถึง 4 เหตุผลที่พ่อแม่ต้องเตรียมลูกให้มีหัวคิดและหัวใจตั้งแต่ยังเล็ก

4 เหตุผลที่ต้องเตรียมลูกให้มีหัวคิดและหัวใจตั้งแต่ยังเล็ก

  • สังคมเปลี่ยนแปลงตลอด

    เพราะเด็กเจนอัลฟ่าเติบโตมาท่ามกลางผู้คน สังคมและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันตลอดเวลา หากเด็กคิดไม่เป็นไม่สามารถปรับตัวรับมือกับความเปลี่ยนแปลง ก็จะใช้ชีวิตได้ยากขึ้น

  • สังคมต้องการพลเมืองโลก (Global citizenship) ที่ดี

    พลเมืองโลกหมายถึง คนที่ห่วงใยผู้อื่นและโลกอย่างจริงจัง สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่สามารถทำได้เพียงลำพัง เช่น การทำงานเป็นทีม หรือแม้แต่ปัญหาสิ่งแวดล้อมของโลก

  • โลกหมุนเร็วจนน่าตกใจ

    เด็กเจนอัลฟ่าเกิดและเติบโตท่ามกลางเทคโนโลยี ที่เต็มไปด้วยความสะดวกสบาย ทุกอย่างรวดเร็ว ปุปปับฉับไว และการเข้าถึงข้อมูลมากมายที่โหมกระหน่ำเข้ามาทุกด้าน ทั้งจริงและเท็จ หากเด็กคิดไม่ได้ คิดไม่เป็น ย่อมอ่อนไหวไปตามสิ่งเหล่านี้และอาจเกิดภัยต่อตัวเองได้

  • มีผลต่อการทำงาน

    ในอนาคตอาชีพหรืองานจำนวนมาก จะถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักร แม้แต่งานบางอย่างที่ใช้ความคิดประกอบ ก็เริ่มใช้ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI เข้ามาแทนที่คนแล้ว จะเหลืองานบางอย่างเท่านั้น ที่ต้องใช้มันสมองของมนุษย์ ดังนั้น เด็กที่ได้รับการฝึกฝนให้คิด วิเคราะห์ และวางแผนแก้ปัญหาได้เป็นอย่างดี จะมีโอกาสได้งานมากกว่า ได้รับค่าจ้างสูงกว่าคนทั่วไป หรือสามารถสร้างงานใหม่ๆ โดยการคิดต่างจากคนอื่นได้

สมัครเป็นสมาชิก Enfa Smart Club กับชมวันนี้ ลุ้นรับ MacBook Air

4 ทักษะสำคัญสำหรับเด็กเจนอัลฟ่า

4 ทักษะขั้นพื้นฐานที่สำคัญ ที่สร้างลูกให้มีหัวคิดและหัวใจ พึ่งพาตัวเองเป็น เอาตัวรอดได้ เห็นอกเห็นใจผู้อื่น และพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ได้อย่างมีความสุข ซึ่งเป็น 4 ทักษะที่จำเป็นต่อการปรับตัวของเด็กยุคนี้

1.สมาธิจดจ่อ (Sustained attention)

สมาธิจดจ่อต่อเนื่อง หรือสนใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้เป็นระยะเวลานาน เช่น ฟังนิทานจนจบเรื่องได้ ทักษะนี้ช่วยให้เด็กสามารถทำภารกิจ และกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสบความสำเร็จได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่ต้องใช้เวลานาน

2.สติปัญญา (Cognition)

ความสามารถในการรับรู้ เรียนรู้ เข้าใจสิ่งต่าง ๆ รอบตัว และตัดสินใจเพื่อตอบสนองต่อสิ่งรอบตัวเหล่านั้นอย่างเหมาะสมและลงตัว เป็นทักษะการรู้คิดที่ทำให้เด็กมีหัวคิดและเก่งกาจ

3.การใช้ภาษาและการสื่อสาร (Sentence complexity and Responsive – language)

การใช้ภาษาที่มีความซับซ้อนและสื่อสารตอบสนองออกมาได้ดี ซึ่งเป็นทักษะที่เกิดจากพัฒนาการด้านภาษาและการสื่อสารของเด็กๆ

4.ทักษะการเคลื่อนไหว (Motoring Skill)

ทักษะทางด้านการเคลื่อนไหว ผ่านการประสานงานของกล้ามเนื้อมัดต่างๆ กับระบบประสาท เช่น มือกับนิ้วมือ มือกับตา การเดิน การวิ่ง เป็นต้น ยิ่งเก่งยิ่งทำได้ในระดับที่ซับซ้อนมากขึ้น ทักษะนี้สอดคล้องไปกับทักษะด้านอื่น เช่น ด้านสติปัญญา ที่เกี่ยวข้องกับการสังเกต วิเคราะห์​ วางแผน และแก้ปัญหา หรือแม้แต่ด้านภาษา อารมณ์และสังคมเมื่อต้องมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับผู้อื่น หากฝึกฝนหรือมีทักษะนี้ดีขึ้น ก็จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านอื่นของเด็กให้ดีขึ้นไปด้วย

ความเชื่อมโยงของ 4 ทักษะ

รศ.นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ อธิบายถึงการเชื่อมโยงของ 4 ทักษะขั้นพื้นฐานว่า เมื่อเด็กจะคิดดี คิดเป็น และทำได้ ทำเป็น ได้อย่างดีนั้น เขาต้องการสมาธิจดจ่อ ต้องรับรู้เข้าใจการสื่อสารของผู้อื่นที่อาจมีความซับซ้อน พูดและสื่อสารโต้ตอบได้ชัดเจน ต้องรู้จักคิดตามเพื่อตอบคำถามได้ ทั้งยังต้องสามารถลงมือปฏิบัติผ่านทักษะการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆของร่างกาย ได้ไปพร้อมกันด้วย

ยกตัวอย่าง เมื่อเด็กเริ่มเดินได้ก้าวแรก ช่วงแรกๆ ของการเดิน อาจยังรู้สึกไม่มั่นคงต่อการก้าวไปบนพื้นผิวที่แตกต่าง หลังจากที่เขาเริ่มยืนและเดินได้อย่างมั่นคงแล้ว เวลาที่ต้องเดินไปบนพื้นผิวที่เรียบไม่เท่ากัน กระบวนการคิดของเด็กจะเริ่มทำงาน เขาจะต้องรู้จักคิดต่อว่า จะก้าวอย่างไรไม่ให้ล้ม และหากมีกระบวนการเรียนรู้จากทักษะทางปัญญาที่ดี เด็กจะรู้ว่าเคลื่อนไหวอย่างไรถึงจะเหมาะสม ซึ่งทั้งหมดมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันทั้งพัฒนาการทางด้านร่างกายและสติปัญญาในการคิด วิเคราะห์ วางแผนและแก้ปัญหา