Enfa สรุปให้

  • หากคุณแม่และทารกในครรภ์แข็งแรง ไม่เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนใด ๆ แพทย์จะให้คลอดธรรมชาติ เพราะมีความเสี่ยงน้อยกว่า แม่ฟื้นตัวดีกว่า และเด็กแข็งแรงกว่า

  • การผ่าคลอด ไม่จำเป็นต้องรอให้เจ็บท้องคลอด สามารถกำหนดวันคลอดได้เลย คุณแม่จึงไม่ต้องเผชิญกับความทรมาณในขณะคลอด

  • การคลอดธรรมชาติทารกจะได้รับจุลินทรีย์ธรรมชาติ จึงมีภูมิต้านทานที่ดี เติบโตมาแข็งแรง ไม่ค่อยป่วยง่าย และมีโอกาสเป็นภูมิแพ้น้อยกว่าเด็กผ่าคลอด

    เลือกอ่านตามหัวข้อ

         • ผ่าคลอดกับคลอดธรรมชาติอันไหนดีกว่ากัน
         • คลอดเองกับผ่าคลอด มีข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไร
         • เด็กผ่าคลอดกับคลอดเองต่างกันอย่างไร

    สำหรับคุณแม่ที่ไม่เคยผ่านการตั้งครรภ์และไม่เคยต้องใกล้ชิดกับคนท้องมาก่อน เรื่องการคลอดก็อาจจะรบกวนจิตใจได้ให้พะวงตกได้ ยิ่งใกล้กำหนดคลอดเข้ามาเรื่อย ๆ ก็ยิ่งกังวลว่าควรจะคลอดแบบไหนดี คนนั้นก็บอกคลอดธรรมชาติดีกว่า อีกคนก็รีวิวว่าผ่าคลอดสบายกว่า ต่างฝ่ายต่างก็ดีไปหมด แล้วแบบนี้คุณแม่ควรจะเลือกวิธีคลอดแบบไหนล่ะ ถึงจะดีที่สุด? 

    ผ่าคลอดกับคลอดธรรมชาติอันไหนดีกว่ากัน


    การคลอดที่ดีที่สุดคือการคลอดที่แม่และเด็กปลอดภัย ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการคลอดธรรมชาติหรือการผ่าคลอด หากช่วยรักษาชีวิตแม่และเด็กไว้ได้ นั่นถือว่าดีที่สุดค่ะ อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้วหากคุณแม่ไม่มีปัญหาสุขภาพรุนแรง ไม่มีภาวะความเสี่ยงในขณะตั้งครรภ์ ไม่ได้ประสบอุบัติเหตุ ทารกมีขนาดปกติ ไม่ตั้งครรภ์เกินกำหนด

    แพทย์จะแนะนำให้คลอดธรรมชาติ เพราะแม่ฟื้นตัวได้เร็ว และเด็กจะได้รับจุลินทรีย์ธรรมชาติจากช่องคลอด ซึ่งเป็นสารภูมิคุ้มกันแบบชีวภาพช่วยให้เด็กแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย ไม่เป็นภูมิแพ้ง่าย แต่ถ้าหากแพทย์เล็งเห็นแล้วว่าการคลอดธรรมชาติ ไม่ส่งผลดีต่อแม่และเด็ก เมื่อนั้นจึงจะวินิจฉัยให้ทำการผ่าคลอดค่ะ 

    เสริมสร้างพัฒนาการให้กับเด็กผ่าคลอดอย่างไร เพื่อเด็กผ่าคลอดเริ่มต้นดีต้องมีครบ 3

    คุณแม่ทราบหรือไม่ว่า การผ่าคลอด (C-Section) คือ การผ่าตัดโดยนำทารกออกมาผ่าทางหน้าท้อง จึงทำให้ทารกไม่ได้รับจุลินทรีย์สุขภาพ (Gut Microbiome) จากบริเวณช่องคลอดของแม่ ซึ่งทำให้เด็กผ่าคลอดอาจมีพัฒนาการภูมิคุ้มกันแรกเกิด และสุขภาพลำไส้ช้ากว่าเด็กที่คลอดแบบธรรมชาติ ส่งผลให้มีโอกาสเจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น

    Cs-Biome หรือ Commensal Microbiome​

    คือ ดีเอ็นเอของกลุ่มจุลินทรีย์ชนิดดีที่อยู่รวมกัน เช่นบิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) และ แลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus) ที่พบในน้ำนมแม่ มีส่วนช่วยทำให้ผนังลำไส้แข็งแรง พัฒนาระบบทางเดินอาหาร ทำให้ลูกขับถ่ายดี เสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง นอกจากนี้ MFGM และ DHA ในนมแม่ยังมีส่วนช่วยเสริมสร้างพัฒนาการสมองในช่วงเริ่มต้นของชีวิต​

    อยากรู้ว่าวันไหนฤกษ์ดีสำหรับการผ่าคลอด เราได้รวบรวมฤกษ์ผ่าคลอด 2567 ฤกษ์ดีปีมังกรทอง วันไหนดี วันไหนมงคล มาดูฤกษ์ผ่าคลอดฟรี 2567 พยากรณ์โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ (การะเกต์พยากรณ์) มาดูฤกษ์ผ่าคลอดฟรีได้ที่นี่

    คลอดเองกับผ่าคลอด มีข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไร


    คลอดธรรมชาติกับผ่าคลอด แม้จะคลอดเหมือนกัน แต่ก็มีข้อแตกต่างกันที่จะต้องนำมาพิจารณาร่วมด้วย ดังนี้ 

    ข้อดีของการคลอดธรรมชาติ 

    • คุณแม่สามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่า ใช้เวลาในการฟื้นตัวไม่นาน 

    • เด็กที่คลอดธรรมชาติได้รับจุลินทรีย์ธรรมชาติจากช่องคลอด ทำให้แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย 

    • โอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนขณะคลอดมีน้อย 

    • ไม่เสี่ยงต่อการเกิดพังผืดในช่องท้อง 

    ข้อเสียของการคลอดธรรมชาติ 

    • ต้องรอเวลาคลอด ไม่สามารถกำหนดวันคลอดได้

    • ทรมานจากอาการเจ็บท้องใกล้คลอด และต้องทนปวดไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งปากมดลูกเปิดกว้างพอ ถึงจะเริ่มทำการคลอด 

    • อุ้งเชิงกรานหย่อนหยาน การคลอดลูกแต่ละครั้ง จะทำให้เกิดการหย่อนหยานของเส้นเอ็นบริเวณอุ้งเชิงกราน ซึ่งถ้าหากตั้งครรภ์หลายครั้ง ก็จะเกิดความหย่อนยานมากขึ้นเรื่อย ๆ 

    สมัครเป็นสมาชิก Enfa Smart Club กับชมวันนี้ ลุ้นรับ MacBook Air

    ข้อดีของการผ่าคลอด 

    • สามารถกำหนดเวลาได้ เมื่อครรภ์ครบกำหนดที่เหมาะสม แพทย์สามารถเลือกวันผ่าคลอดให้ได้เลย  

    • คุณแม่ไม่ต้องทนเจ็บท้องจนกระทั่งปากมดลูกเปิดกว้างพอ สามารถเลือกวันผ่าคลอดตามฤกษ์ยามหรือฤกษ์สะดวกได้เลย 

    • ลดความเสี่ยงของอวัยวะเชิงกรานหย่อนยาน เพราะไม่จำเป็นต้องออกแรงเบ่ง จึงไม่ส่งผลเสียต่อเส้นเอ็นที่เชิงกราน 

    ข้อเสียของการผ่าคลอด 

    • ใช้เวลาหลังคลอดในการฟื้นตัวนานกว่าการคลอดธรรมชาติ 

    • มีแผลผ่าคลอดกวนใจ ยิ่งถ้าแพทย์ทำแผลไม่สวย หรือเป็นคีลอยด์ ก็จะยิ่งลดทอนความมั่นใจ 

    • มีโอกาสเสียเลือดมาก และเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนในขณะคลอดด้วย 

    • อาจมีผลข้างเคียงจากการดมยาสลบและฉีดยาชาได้ ในกรณีที่คุณแม่มีอาการแพ้ยาสลบ แพ้ยาชา  

    คลอดธรรมชาติกับผ่าคลอด อันไหนเจ็บกว่ากัน 

    การคลอดทั้งสองแบบ เจ็บเหมือนกันทั้งคู่ค่ะ ไม่มีแบบไหนที่ไม่เจ็บ เพียงแต่ความเจ็บนั้นจะแตกต่างกัน ดังนี้ 

    • คลอดธรรมชาติ จะเจ็บตอนใกล้คลอดและเจ็บในระหว่างคลอด แต่หลังจากคลอดแล้วจะฟื้นตัวได้เร็วกว่า เจ็บแผลหลังคลอดน้อยกว่า  และแผลคลอดหายเร็วกว่า 

    • ผ่าคลอด ไม่มีอาการเจ็บก่อนคลอดหรือใกล้คลอด แต่หลังจากที่ผ่าคลอดเสร็จแล้ว กว่าที่แผลผ่าตัดจะสมานตัวจนหายเป็นปกติ ยังจะต้องพบกับอาการเจ็บแผลผ่าคลอดไปอีกสักระยะหนึ่ง 

    ผ่าคลอดกับคลอดธรรมชาติ มีค่าใช้จ่ายต่างกันมากน้อยแค่ไหน 

    ไม่ว่าจะคลอดที่โรงพยาบาลรัฐหรือเอกชน การคลอดธรรมชาติก็มีค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่าการผ่าคลอดค่ะ เพราะการผ่าคลอดนอกจากจะต้องเสียค่าทำคลอดแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายในส่วนของวิสัญญีแพทย์สำหรับดมยาสลบ รวมถึงค่าใช้จ่ายสำหรับการผ่าตัดด้วย  

    โรงพยาบาลของรัฐ คลอดธรรมชาติ เริ่มต้นตั้งแต่  5,000 – 15,000 บาท ส่วนค่าผ่าคลอด เริ่มต้นตั้งแต่ 15,000 – 30,000 บาท 

    โรงพยาบาลเอกชน คลอดธรรมชาติ เริ่มต้นตั้งแต่ 30,000 บาท ขณะที่ผ่าคลอด อาจเริ่มต้นตั้งแต่ 50,000 ไปจนถึงหลักแสนค่ะ 

    เด็กผ่าคลอดกับคลอดเองต่างกันอย่างไร


    โดยทั่วไปแล้วเด็กที่คลอดธรรมชาติกับเด็กผ่าคลอด ก็สามารถที่จะเติบโตสมวัยและแข็งแรงได้เหมือน ๆ กันค่ะ แต่อาจจะมีบางปัจจัยที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

    • เด็กคลอดธรรมชาติ มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่า และยังได้รับจุลินทรีย์ชีวภาพตามธรรมชาติจากภายในช่องคลอด จึงมีภูมิต้านทานที่แข็งแรง ไม่ค่อยเจ็บป่วยบ่อย และมีโอกาสเป็นภูมิแพ้น้อยกว่า

    • เด็กผ่าคลอด สามารถเติบโตมามีสุขภาพที่แข็งแรงได้เหมือนกันค่ะ แต่เด็กผ่าคลอดไม่ได้รับจุลินทรีย์สุขภาพ (Gut Microbiome) จากบริเวณช่องคลอดของแม่ ซึ่งทำให้เด็กผ่าคลอดอาจมีพัฒนาการภูมิคุ้มกันแรกเกิด และสุขภาพลำไส้ช้ากว่าเด็กที่คลอดแบบธรรมชาติ ส่งผลให้มีโอกาสเจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น



    บทความแนะนำสำหรับคุณแม่ผ่าคลอด